เรื่องน่ารู้
Blogs

อาการก่อนเมนส์มา (PMS) และการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่ควรรู้!

ประจำเดือน หรือเมนส์มา เป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงทุก ๆ เดือน เนื่องจากการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกออกจากร่างกาย โดยในช่วงเวลานี้ผู้หญิงบางคนอาจรู้สึกไม่สบายตัว เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และอาจมีอาการก่อนเมนส์มาเป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังจะมีประจำเดือน

สำหรับในช่วงที่ประจำเดือนมา ผู้หญิงอาจมีอาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ เช่น ปวดท้องน้อย ปวดหลัง หรือรู้สึกบวม ๆ โดยอาการเหล่านี้มักจะหายไปเมื่อประจำเดือนมาถึง และระบบฮอร์โมนกลับสู่สภาวะปกติ แต่บางคนอาจมีอาการ pms ที่ค่อนข้างหนัก และไม่ปกติ ดังนั้นเพื่อรับมือกับอาการเหล่านี้ ผู้หญิงควรทำความเข้าใจ และหาวิธีดูแลตัวเองให้ดี ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับอาการก่อนเป็นเมนส์

อาการก่อนเมนส์มา (PMS) คืออะไร?

Premenstrual Syndrome หรือ pms คือ กลุ่มอาการที่จะเกิดขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือน ซึ่งมักจะเริ่มต้นประมาณ 7-14 วันก่อนที่ประจำเดือนจะมาถึง อาการเหล่านี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน Estrogen และ Progesterone ในร่างกาย โดยอาการอาจมีทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้หญิงได้

สำหรับอาการก่อนเป็นประจําเดือน หรือ PMS นั้น สามารถแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่โดยทั่วไปจะมีอาการที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เช่น ความหงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน, ปัญหาผิว เช่น สิว, การบวม และอาการเจ็บปวด เช่น ปวดท้องน้อย ปวดหลัง เป็นต้น โดยอาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อประจำเดือนเริ่มมาและฮอร์โมนกลับสู่ระดับปกติ อาการ pms นั้น ไม่ใช่โรค แต่เป็นกลุ่มอาการที่พบได้บ่อยในผู้หญิงหลายคนในช่วงก่อนประจำเดือน

PMS มีอาการเป็นอย่างไร? อาการก่อนเป็นประจำเดือนที่ควรระวัง

อาการก่อนเมนส์มา หรือ อาการก่อนเป็นประจำเดือน ในแต่ละคนนั้นจะไม่เหมือนกัน บางคนไม่แสดงอาการ บางคนก็มีอาการค่อนข้างหนัก ซึ่งอาจส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจได้ หากมีอาการที่ผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาทันที

อาการทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม

ในช่วงก่อนประจำเดือน (PMS) ผู้หญิงมักจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และพฤติกรรมที่อาจรบกวนชีวิตประจำวัน อาการทางอารมณ์เหล่านี้มักเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย

  • อารมณ์แปรปรวน อารมณ์ผู้หญิงตอนเป็นเมนส์ จะมีอาการขึ้น ๆ ลง ๆ อาจทำให้รู้สึกหงุดหงิดหรือเศร้าได้ง่าย
  • ความวิตกกังวล บางคนอาจรู้สึกวิตกกังวล หรือเครียดโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน
  • ความหงุดหงิดหรือโกรธง่าย อาจเกิดการระเบิดอารมณ์จากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือมีความรู้สึกไม่พอใจ
  • อาการซึมเศร้า ในบางกรณี อาการ PMS อาจทำให้ผู้หญิงรู้สึกซึมเศร้าหรือหมดแรง
  • การเปลี่ยนแปลงในการนอนหลับ การนอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไปก็เป็นอาการหนึ่งที่พบในช่วงนี้
  • ความอยากอาหาร บางคนอาจรู้สึกอยากกินอาหารมากขึ้นโดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตสูง

อาการทางด้านร่างกาย

ในส่วนของทางด้านร่างกาย อาการประจำเดือนจะมาที่อาจเกิดขึ้นก่อน จะทำให้ผู้หญิงรู้สึกไม่สบายตัวและกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น

  • ปวดท้องน้อย อาการปวดท้องหรือปวดบริเวณมดลูกเป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยมักเกิดจากการหดตัวของมดลูกในระหว่างที่ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
  • บวมน้ำ ร่างกายอาจเกิดการบวมในบางส่วน เช่น ท้อง เท้า หรือมือ เนื่องจากการเก็บน้ำในร่างกายเพิ่มขึ้น
  • เจ็บเต้านม การขยายตัวของเต้านมและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจทำให้เต้านมรู้สึกเจ็บหรือบวม
  • อ่อนเพลีย รู้สึกอ่อนเพลียหรือหมดพลังงานแม้จะนอนหลับเพียงพอ
  • ปัญหาผิว อาจเกิดสิวหรือผิวมันมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
  • ปวดหัว บางคนอาจมีอาการปวดหัว หรือไมเกรนในช่วงนี้
  • ท้องอืด การเก็บน้ำในร่างกายทำให้รู้สึกท้องอืดหรือไม่สบายตัว

อาการคนเป็นเมนส์ มักจะหายไปเมื่อประจำเดือนเริ่มมาและระดับฮอร์โมนในร่างกายกลับสู่สภาวะปกติ ถ้าหากยังไม่หาย หรือมีปัญหาสุขภาพตามมา อย่าปล่อยทิ้งไว้นาน อาจจะต้องมาปรึกษาแพทย์ และตรวจสุขภาพ รวมถึงระดับฮอร์โมน

S'RENE by SLC

สาเหตุของ อาการก่อนเมนส์มา (PMS) คืออะไร?

สาเหตุของอาการก่อนเมนส์มา แบ่งออกได้เป็น 2 ปัจจัย ได้แก่ ฮอร์โมน และโรคประจำตัว ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ๆ นอกจากนี้ก็ยังเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิต การพักผ่อน ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ซึ่งเป็นปัจจัยรองที่ส่งผลต่อร่างกาย และอาจทำให้มีอาการที่หนักขึ้นได้

สาเหตุจากฮอร์โมน

Estrogen และ Progesterone มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบสืบพันธุ์และกระบวนการทางกายภาพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของทั้งสองฮอร์โมนนี้ส่งผลกระทบต่อสมองและระบบประสาท ทำให้เกิดอาการที่เกี่ยวข้องกับ PMS

  • Estrogen ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนการตกไข่และลดลงเมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงประจำเดือน การลดลงอย่างรวดเร็วของระดับเอสโตรเจนในช่วงนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการทางอารมณ์ เช่น หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน หรือความเครียด
  • Progesterone ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะเพิ่มขึ้นหลังการตกไข่และลดลงก่อนที่ประจำเดือนจะมา เมื่อระดับโปรเจสเตอโรนลดลง มักจะทำให้เกิดอาการบวม ปวดท้อง และความรู้สึกเหนื่อยล้า

สาเหตุจากโรคประจำตัว

นอกจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแล้ว โรคประจำตัว หรือปัจจัยสุขภาพบางอย่างก็สามารถมีบทบาทในการกระตุ้นหรือทำให้อาการ PMS รุนแรงขึ้นได้ เช่น

  • โรคซึมเศร้า (Depression) ผู้ที่มีประวัติอาการซึมเศร้าหรือปัญหาทางจิตใจอาจมีแนวโน้มที่จะมีอาการ PMS ที่รุนแรงขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจกระทบต่อสารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์
  • โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) การมีความดันโลหิตสูงอาจทำให้มีอาการบวมและความไม่สบายตัวในช่วง PMS
  • โรคเบาหวาน (Diabetes) ระดับน้ำตาลในเลือดที่ไม่สมดุลอาจส่งผลต่อพลังงานและทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนเพลียในช่วงก่อนประจำเดือน
  • โรคไทรอยด์ (Thyroid Disorders) ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ไม่สมดุลอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการ PMS ที่รุนแรงขึ้น
  • ภาวะถุงน้ำในรังไข่ (PCOS) การมี PCOS (Polycystic Ovary Syndrome) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีความไม่สมดุลของฮอร์โมน ก็สามารถทำให้เกิดอาการ PMS ที่รุนแรงมากขึ้น

อาการ PMS อาจแตกต่างกันไปตามปัจจัยทางสุขภาพเหล่านี้ และการดูแลสุขภาพที่ดีสามารถช่วยบรรเทาอาการได้

อาการ PMDD คือ? แตกต่างจากอาการก่อนเป็นประจำเดือนอย่างไร?

อาการก่อนประจำเดือนมา PMS (Premenstrual Syndrome) และกลุ่มอาการรุนแรงก่อนมีประจำเดือน PMDD (Premenstrual Dysphoric Disorder) เป็นสองภาวะที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนประจำเดือน แต่จะมีความแตกต่างในเรื่องของความรุนแรงและผลกระทบต่อชีวิตประจำวันที่ต่างกัน ดูได้จากอาการ ดังนี้

อาการก่อนประจำเดือนมา PMS (Premenstrual Syndrome)

  • อาการ PMDD เป็นอาการที่รุนแรงกว่า PMS และมักจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออารมณ์และความสามารถในการทำงาน เช่น ความวิตกกังวล, ซึมเศร้า, อารมณ์แปรปรวนรุนแรง, หรือความรู้สึกไร้ค่า อาการทางร่างกายอาจรวมถึงอาการปวดท้องอย่างรุนแรงหรือบวม
  • ความรุนแรง อาการของ PMDD มีความรุนแรงมากกว่าจึงสามารถรบกวนชีวิตประจำวันได้อย่างชัดเจน ทำให้ไม่สามารถทำกิจกรรมตามปกติได้
  • ระยะเวลา PMDD เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ก่อนประจำเดือนจะมาและอาการจะหายไปหลังจากที่ประจำเดือนเริ่มมา

อาการรุนแรงก่อนมีประจำเดือน PMDD (Premenstrual Dysphoric Disorder)

  • อาการ: PMDD เป็นอาการที่รุนแรงกว่า PMS และมักจะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออารมณ์และความสามารถในการทำงาน เช่น ความวิตกกังวล, ซึมเศร้า, อารมณ์แปรปรวนรุนแรง, หรือความรู้สึกไร้ค่า อาการทางร่างกายอาจรวมถึงอาการปวดท้องอย่างรุนแรงหรือบวม
  • ความรุนแรง: อาการของ PMDD มีความรุนแรงมากกว่าจึงสามารถรบกวนชีวิตประจำวันได้อย่างชัดเจน ทำให้ไม่สามารถทำกิจกรรมตามปกติได้
  • ระยะเวลา: PMDD เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ก่อนประจำเดือนจะมาและอาการจะหายไปหลังจากที่ประจำเดือนเริ่มมา

แล้วควรพบแพทย์เมื่อไหร่ดี?

แม้ว่า PMS จะเป็นภาวะที่พบได้ทั่วไปและมักไม่รุนแรง แต่หากอาการเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวันมากเกินไป ควรพบแพทย์เพื่อหาวิธีการจัดการอาการที่เหมาะสม

ส่วน PMDD ซึ่งมีอาการรุนแรงและสามารถทำให้เกิดปัญหาทางอารมณ์และจิตใจอย่างมาก เช่น ความคิดฆ่าตัวตายหรือความรู้สึกหมดหวัง, เป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ เพราะอาการเหล่านี้อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างหนัก แพทย์อาจแนะนำการรักษาที่รวมถึงการใช้ยา, การบำบัดทางจิตใจ หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การจัดการความเครียดหรือการออกกำลังกายเป็นประจำ

หากคุณมีอาการก่อนเมนส์มาที่รุนแรงและไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง การพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและการรักษาเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อให้สุขภาพของคุณดีขึ้น

 

อาการก่อนเมนส์มา

หากมีอาการก่อนเมนส์มา จะรักษาอย่างไรดี?

การรักษาอาการ PMS สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและความชอบส่วนตัวของแต่ละบุคคล และนี่คือวิธีการที่นิยมใช้เพื่อบรรเทา อาการก่อนเมนส์มา หรือ ปวดท้องก่อนเมนส์มา

รักษาตัวเองโดยการใช้ยา

การใช้ยาสามารถช่วยบรรเทาอาการของ PMS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเลือกใช้ตามความรุนแรงของอาการและคำแนะนำจากแพทย์

  • ยาบรรเทาปวด (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน หรือ พาราเซตามอล สามารถช่วยลดอาการปวดท้อง ปวดหลัง และอาการปวดหัวที่เกิดจาก PMS
  • ยาคุมกำเนิด การใช้ยาคุมกำเนิดสามารถช่วยควบคุมระดับฮอร์โมน Estrogen และ Progesterone ซึ่งอาจลดอาการทางอารมณ์และร่างกายที่เกิดจาก PMS ได้
  • ยาคลายเครียด (Antidepressants) สำหรับผู้ที่มีอาการทางอารมณ์รุนแรง เช่น ความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้าในช่วงก่อนประจำเดือน แพทย์อาจแนะนำการใช้ยาต้านเศร้าชนิดที่มีผลต่อสารเคมีในสมอง (SSRIs) เพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้
  • ยาขับปัสสาวะ ในบางกรณีที่มีอาการบวมจากการกักเก็บน้ำในร่างกาย ยาขับปัสสาวะอาจช่วยบรรเทาอาการบวมได้

*การใช้ยาควรทำภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงและให้ได้ผลที่ดีที่สุด

การปรับเปลี่ยนอาหารที่ทาน

การปรับอาหารให้เหมาะสมสามารถช่วยลดอาการ PMS ได้ โดยการให้สารอาหารที่เหมาะสมต่อการบำรุงร่างกายและลดการกระตุ้นของอาการต่าง ๆ ดังนี้

  • อาหารที่มีโปรตีนสูง การกินโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสมช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่และลดอาการหิวบ่อย หรือความอยากอาหารที่มากเกินไปในช่วง PMS
  • อาหารที่มีไฟเบอร์สูง การรับประทานผักและผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงช่วยปรับสมดุลของระบบย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด
  • ไขมันดี (Healthy Fats) ไขมันจากแหล่งธรรมชาติ เช่น อะโวคาโด, ถั่ว, และปลาแซลมอน ช่วยลดการอักเสบและปรับสมดุลฮอร์โมน
  • ธาตุสังกะสี (Zinc) ธาตุสังกะสีช่วยในการควบคุมฮอร์โมนและลดอาการที่เกี่ยวข้องกับ PMS เช่น ปวดท้องและการอักเสบในร่างกาย
  • แมกนีเซียม (Magnesium) แมกนีเซียมช่วยบรรเทาอาการปวดท้องและบวม อีกทั้งยังช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น
  • การลดคาเฟอีนและน้ำตาล คาเฟอีนและน้ำตาลอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผันผวนและกระตุ้นอาการหงุดหงิดหรือเครียดได้ ดังนั้นการลดการบริโภคในช่วงก่อนประจำเดือนอาจช่วยบรรเทาอาการได้

อาการก่อนเมนส์มาแตกต่างจากอาการคนท้องอย่างไรบ้าง

อาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) และอาการคนท้องระยะแรกอาจคล้ายคลึงกันมากจนทำให้หลายคนสับสนได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บคัดตึงเต้านม อ่อนเพลีย หรือหงุดหงิดง่าย อย่างไรก็ตาม มีข้อแตกต่างที่พอจะสังเกตได้ เช่น อาการคนท้องมักจะมีเลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation Bleeding) ซึ่งเป็นเลือดสีจางๆ ออกมาเล็กน้อยและหายไปใน 1-2 วัน ในขณะที่อาการก่อนมีประจำเดือนจะไม่มีเลือดออกกะปริบกะปรอยทางช่องคลอด นอกจากนี้ อาการแพ้ท้อง คลื่นไส้รุนแรง และความอยากอาหารที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนมักเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์มากกว่า PMS

สรุปความแตกต่างระหว่างอาการก่อนเมนส์มาและตั้งครรภ์

เลือดออกทางช่องคลอด

  • อาการก่อนเมนส์มา จะไม่มีเลือดออกก่อนประจำเดือนมาจริง (ยกเว้นบางรายอาจมีเลือดหยดเล็กน้อยก่อนรอบเดือนมา 1-2 วัน)
  • อาการตั้งครรภ์ อาจมีเลือดสีชมพูจางๆ หรือสีน้ำตาล ออกมาเล็กน้อยเป็นเวลาสั้นๆ 1-2 วัน ในช่วงที่ตัวอ่อนฝังตัว

อาการเจ็บคัดตึงเต้านม

  • อาการก่อนเมนส์มา อาการเจ็บคัดตึงจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปเมื่อประจำเดือนมา
  • อาการตั้งครรภ์ อาการเจ็บคัดตึงจะคงอยู่และอาจรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บริเวณลานนมอาจมีสีคล้ำและขยายใหญ่ขึ้น

ความอยากอาหาร

  • อาการก่อนเมนส์มา อาจอยากอาหารบางอย่างเป็นพิเศษ หรือเบื่ออาหารได้บ้าง แต่จะเป็นเพียงชั่วคราว
  • อาการตั้งครรภ์ ความอยากอาหารจะเปลี่ยนแปลงชัดเจนและยาวนานกว่า อาจอยากทานของแปลกๆ หรือเหม็นอาหารที่เคยชอบไปเลย

อาการคลื่นไส้ อาเจียน

  • อาการก่อนเมนส์มา พบได้ไม่บ่อยนัก อาจมีอาการท้องไส้ปั่นป่วนบ้าง แต่ไม่ถึงกับคลื่นไส้รุนแรง
  • อาการตั้งครรภ์ เป็นอาการแพ้ท้องที่พบได้บ่อย อาจมีอาการคลื่นไส้รุนแรงในตอนเช้าหรือตลอดทั้งวัน

ความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย

  • อาการก่อนเมนส์มา อาการอ่อนเพลียจะหายไปเมื่อมีประจำเดือน
  • อาการตั้งครรภ์ อาการอ่อนเพลียจะรุนแรงและต่อเนื่องยาวนานกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายต้องใช้พลังงานสูง

การดูแลอาการก่อนเมนส์มา PMS และการบรรเทาอาการปวดท้อง

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า การดูแลรักษาอาการ PMS สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการใช้ยาหรือการบำบัดที่เหมาะสม แต่อีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยได้ ก็คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต และเทคนิคง่าย ๆ ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือนได้

1. บรรเทาอาการปวดท้องก่อนเมนส์มา

อาการปวดท้องเป็นหนึ่งในอาการที่พบได้บ่อยของ PMS ซึ่งเกิดจากการหดตัวของมดลูก สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้

  • ประคบร้อน ใช้กระเป๋าน้ำร้อนหรือแผ่นประคบร้อนวางบนหน้าท้อง จะช่วยลดการหดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกและบรรเทาอาการปวดได้
  • รับประทานอาหารเสริม เช่น แมกนีเซียม แคลเซียม หรือวิตามินบี 6 ซึ่งช่วยลดอาการปวดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นการอักเสบ เช่น อาหารรสจัด คาเฟอีน และน้ำตาล ซึ่งอาจทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้น

2. การผ่อนคลายเพื่อลดความเครียด

ความเครียดและอารมณ์แปรปรวนเป็นอาการเด่นของ PMS หรือ อาการเมนส์จะมา การผ่อนคลายร่างกายและจิตใจช่วยให้รู้สึกดีขึ้น

  • นั่งสมาธิ หรือ ฝึกการหายใจลึก ๆ เพื่อช่วยลดความตึงเครียดและปรับสมดุลฮอร์โมน
  • นอนหลับให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
  • กลิ่นบำบัด (Aromatherapy) การใช้กลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหย เช่น ลาเวนเดอร์ หรือโรสแมรี่ ช่วยให้รู้สึกสงบและลดความเครียด
  • การนอนหลับที่เพียงพอ การนอนหลับอย่างเพียงพอช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและลดอาการอ่อนเพลียในช่วง PMS ควรนอนหลับ 7-8 ชั่วโมงทุกคืน

3. การออกกำลังกายเพื่อบรรเทาอาการ PMS

การเคลื่อนไหวร่างกายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และการหลั่งสารเอ็นโดรฟิน (Endorphins) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขที่ช่วยลดอาการปวดและปรับสมดุลอารมณ์

  • โยคะ โพสท่าที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น Child’s Pose หรือ Cat-Cow Pose ลดอาการปวดท้องและปวดหลังได้
  • คาร์ดิโอเบา ๆ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน ช่วยลดอาการบวมและอาการปวดเมื่อย
  • การยืดเส้นยืดสาย เช่น การทำ Stretching Routine ช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ

การวินิจฉัยอาการ PMS และการเตรียมตัวก่อนพบแพทย์

การวินิจฉัย PMS ส่วนใหญ่จะทำผ่านการประเมินอาการทางประวัติทางการแพทย์และการตรวจสอบอาการที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนประจำเดือน แพทย์อาจแนะนำการทดสอบหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการหรือหากอาการรุนแรงเกินไป

  • ประเมินประวัติอาการ แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นในแต่ละรอบเดือน เช่น ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์, ความรู้สึกไม่สบายตัว, อาการปวดท้องก่อนเมนส์มา หรืออาการบวม และตรวจสอบว่ามีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นทุกเดือนหรือไม่
  • การบันทึกอาการ การบันทึกอาการในแต่ละเดือนเป็นระยะเวลาหลายรอบเดือนจะช่วยให้แพทย์วิเคราะห์รูปแบบการเกิดของอาการ PMS ได้ดียิ่งขึ้น การใช้แอปพลิเคชันหรือปฏิทินในการบันทึกวันที่ประจำเดือนมา, วันที่มีอาการ, และระดับความรุนแรงของอาการช่วยให้ข้อมูลนี้แม่นยำขึ้น
  • การตรวจสุขภาพร่างกาย แพทย์อาจทำการตรวจร่างกายเพื่อให้แน่ใจว่าอาการที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การเจ็บป่วยอื่น ๆ หรือโรคทางนรีเวช รวมถึงตรวจวัดระดับฮอร์โมน

การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์

เพื่อให้การพบแพทย์มีประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถวินิจฉัยอาการได้อย่างถูกต้อง ควรเตรียมตัวให้พร้อมตามคำแนะนำเหล่านี้:

  1. บันทึกอาการ ก่อนพบแพทย์ ควรบันทึกอาการที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนประจำเดือนในระยะเวลา 2-3 เดือน รวมถึงวันที่เริ่มมีอาการและอาการที่เกิดขึ้น เช่น ปวดท้อง, หงุดหงิด, อ่อนเพลีย, หรือการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
  2. รายละเอียดเกี่ยวกับรอบเดือน จดบันทึกวันที่ประจำเดือนมาและวันที่ประจำเดือนหมด รวมถึงความยาวรอบเดือนของคุณ เพื่อให้แพทย์สามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและอาการได้ชัดเจนขึ้น
  3. ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ หากคุณมีโรคประจำตัว เช่น โรคซึมเศร้า, โรคเบาหวาน, หรือปัญหาทางสุขภาพอื่น ๆ ควรบอกแพทย์ เพราะโรคเหล่านี้อาจส่งผลต่ออาการ PMS
  4. รายการยาที่ใช้ หากคุณกำลังใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใด ๆ ควรนำรายการยาไปให้แพทย์เพื่อตรวจสอบว่ามีผลกระทบต่ออาการ PMS หรือไม่
  5. คำถามที่อยากถาม เตรียมคำถามที่คุณต้องการถามแพทย์ เช่น วิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับอาการที่คุณกำลังประสบอยู่, ผลข้างเคียงของการใช้ยา, หรือวิธีการจัดการกับอารมณ์และอาการทางร่างกายในช่วง PMS

การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์จะช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการได้อย่างแม่นยำและเสนอวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจดเตรียมคำถามที่ต้องการถามแพทย์ หรือจดเตรียมคำตอบสำหรับคำถามที่แพทย์อาจจะสอบถาม

FAQ : คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการก่อนเมนส์มา

Q: อาการก่อนมีประจำเดือนมักจะเริ่มเมื่อไร?

ตอบ: อาการก่อนมีประจำเดือน มักเริ่มต้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนที่ประจำเดือนจะมา

ตัวอย่างช่วงเวลาโดยทั่วไป

  • วันตกไข่: ประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน (นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งก่อน)
  • เริ่มแสดงอาการ PMS: ประมาณวันที่ 21-28 ของรอบเดือน (ช่วงก่อนประจำเดือนมา)

อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงและเวลาที่อาการเริ่มต้นอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ฮอร์โมน ความเครียด และสุขภาพโดยรวม

Q: อาการของ PMS รุนแรงแค่ไหน?

ตอบ:อาการ PMS มีความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่บางคนอาจมีอาการรุนแรงจนกระทบกับการทำกิจกรรมประจำวัน หากอาการรุนแรงและไม่สามารถควบคุมได้ ควรปรึกษาแพทย์

Q: สีของประจำเดือนบอกอะไรได้บ้าง?

ตอบ:หากพบว่ามีสีหรือกลิ่นผิดปกติ รวมถึงอาการปวดรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์

  1. สีแดงสด: เลือดใหม่ ไหลเวียนปกติ มักพบช่วงเริ่มต้นของรอบเดือน
  2. สีแดงเข้ม/น้ำตาลแดง: เลือดเก่า ถูกขับออกช่วงท้ายของรอบเดือน
  3. สีชมพู: เลือดผสมมูก อาจบ่งบอกฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ
  4. สีส้ม: เลือดผสมสารคัดหลั่ง อาจเสี่ยงติดเชื้อ
  5. สีดำ: เลือดคั่งในมดลูกหรือการขับออกช้า

Q: การใช้ยาคุมกำเนิดช่วยลดอาการ PMS ได้หรือไม่?

ตอบ:การใช้ยาคุมกำเนิดสามารถช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนในร่างกาย และลดอาการที่เกี่ยวข้องกับ PMS เช่น ปวดท้องหรืออารมณ์แปรปรวน ซึ่งจะทำให้ประจำเดือนมาอย่างสม่ำเสมอและลดอาการก่อนประจำเดือน

สรุปว่า หากมีอาการก่อนเมนส์มาที่รุนแรง ผิดปกติ หรือทำให้ลำบากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรรีบปรึกษาแพทย์

จากข้อมูลข้างต้นทั้งหมดที่กล่าวมา หากพบว่า ตัวเองกำลังมีอาการเมนส์จะมา (PMS) ที่รุนแรงหรือไม่สามารถควบคุมได้ การปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวัดระดับฮอร์โมน จึงเป็นจุดเริ่มต้นและทางเลือกที่ดี เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ และการรักษาที่เหมาะสม การตรวจฮอร์โมนจะช่วยให้เราเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างฮอร์โมนในร่างกายและอาการที่กำลังประสบอยู่ พร้อมทั้งสามารถรับการรักษาที่ตรงจุดและปรับสมดุลฮอร์โมนได้อย่างปลอดภัย

โดยทาง S’RENE by SLC ก็มีโปรแกรมตรวจฮอร์โมนอย่างละเอียด พร้อมคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ป้องกัน และมีประสบการณ์ในด้าน His & Her Wellnes สามารถให้คำปรึกษา และแนะนำการปรับสมดุลฮอร์โมนและบรรเทาอาการที่เกิดจาก PMS ด้วยวิธีการที่เหมาะสม

His & Her Wellness Lab Check Up Program – FEMALE Level 3 (15,900.- 20 รายการตรวจ) ตรวจวัดระดับฮอร์โมนเพศ และความสมดุลของร่างกาย เพื่อหาความเสี่ยงปัญหาสุขภาพเพศ พร้อมนำมาวางแผนการดูแล และฟื้นฟูสุขภาพเพศ

ใครที่กำลังมีปัญหาสุขภาพ สามารถเข้ามาปรึกษากับแพทย์ที่ S’RENE by SLC หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และจองคิวได้ที่

▪️ สาขา ทองหล่อ – โทร 064 184 5237
▪️ สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร 081 249 7055
▪️ สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669

________________________________________________________

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

Premenstrual Syndrome: Symptoms and Causes. Mayo Clinic.
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/premenstrual-syndrome/symptoms-causes/syc-20376780

Premenstrual Syndrome (PMS). NHS.
https://www.nhs.uk/conditions/pre-menstrual-syndrome/

Premenstrual Syndrome (PMS). MedlinePlus.
https://medlineplus.gov/premenstrualsyndrome.html

Premenstrual Syndrome (PMS). Better Health Channel.
https://www.betterhealth.vic.gov.au/health/conditionsandtreatments/premenstrual-syndrome-pms

Premenstrual Syndrome: Causes, Symptoms, and Treatments. Healthline.
https://www.healthline.com/health/premenstrual-syndrome

PMS (Premenstrual Syndrome). Cleveland Clinic.
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/24288-pms-premenstrual-syndrome

สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่