เรื่องน่ารู้

Blogs

ไขมันพอกตับ ภัยเงียบที่ต้องรู้จัก

ตับของเราเปรียบเสมือนโรงงานกรองสารพิษและแหล่งพลังงานสำคัญที่ทำงานตลอดเวลา แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดภาวะ ไขมันพอกตับ การสะสมไขมันในเซลล์ตับที่เกินกว่าปกติจะเริ่มส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับ ถึงแม้ภายนอกจะดูผอมสุขภาพดี แต่ภาวะนี้สามารถทำให้ตับเกิดการอักเสบและนำไปสู่ตับแข็ง หรือในบางกรณีอาจเสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับได้

ไขมันพอกตับ เกิดจากการสะสมของไขมันในตับเกินกว่า 5% ของน้ำหนักตับ ปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่ภาวะนี้มีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง การขาดการออกกำลังกาย การดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงโรคประจำตัวอย่างเบาหวานหรือภาวะอ้วน ภาวะนี้อาจไม่มีอาการในระยะแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพในระยะยาว

การดูแลตับให้แข็งแรงเริ่มต้นได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การควบคุมน้ำหนัก เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดภาวะไขมันพอกตับอย่างยั่งยืน

ไขมันพอกตับแบ่งเป็นกี่ระยะ?

ภาวะไขมันพอกตับไม่ได้เกิดขึ้นในทันที แต่จะค่อย ๆ พัฒนาตามการสะสมของไขมันในตับที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยแต่ละระยะมีความรุนแรงแตกต่างกัน และต้องการการดูแลรักษาที่เหมาะสมกับระยะนั้น ๆ

  • ระยะที่ 1: ระยะสะสมไขมัน (Simple Fatty Liver)
    ในระยะแรกนี้ ไขมันเริ่มสะสมในเซลล์ตับมากกว่า 5% ของน้ำหนักตับ แต่ตับยังไม่เกิดการอักเสบหรือความเสียหายที่ชัดเจน ไขมันพอกตับในระยะนี้มักไม่มีอาการแสดงออกมา การตรวจพบส่วนใหญ่มักเป็นการตรวจสุขภาพทั่วไป แม้จะดูเหมือนไม่ร้ายแรง แต่หากไม่ดูแล อาจนำไปสู่ระยะถัดไปได้ง่าย
  • ระยะที่ 2: ระยะตับอักเสบจากไขมัน (Non-Alcoholic Steatohepatitis – NASH)
    เมื่อไขมันสะสมมากขึ้น อาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับ ระยะนี้ตับเริ่มเสียหายมากขึ้น อาจมีอาการอ่อนเพลีย ปวดบริเวณท้อง หรือรู้สึกไม่สบาย หากไม่ได้รับการรักษาหรือปรับพฤติกรรมสุขภาพ ปล่อยให้มีอาการตับอักเสบจากไขมันพอกตับไปเรื่อย ๆ จะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะที่รุนแรงยิ่งขึ้น
  • ระยะที่ 3: ระยะพังผืดในตับ (Fibrosis)
    ตับที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบต่อเนื่อง จะเริ่มมีการสะสมของพังผืดในตับ แม้ตับยังสามารถทำงานได้บางส่วน แต่พังผืดจะลดความสามารถของตับในการกรองและเผาผลาญสารต่าง ๆ การตรวจพบในระยะนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
  • ระยะที่ 4: ระยะตับแข็ง (Cirrhosis)
    เป็นระยะที่ไขมันและพังผืดสะสมจนทำให้โครงสร้างของตับเปลี่ยนแปลง ตับไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะตับวาย หรือมะเร็งตับในบางกรณี ระยะนี้ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด และอาจต้องพิจารณาการรักษาเฉพาะทาง

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับเกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ตับสะสมไขมันเกินกว่าปกติ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ และกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์

ไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์ (AFLD)

การบริโภคแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะกระตุ้นให้เกิดการสะสมไขมันในเซลล์ตับ เนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลทำให้กระบวนการเผาผลาญไขมันในตับแปรปรวน ส่งผลให้ไขมันไม่สามารถถูกเผาผลาญออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะยาว ตับจะเกิดการสะสมไขมันมากขึ้น จนนำไปสู่ภาวะตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ และในที่สุดอาจกลายเป็นตับแข็งได้ การลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จึงเป็นวิธีสำคัญในการลดความเสี่ยงของไขมันพอกตับในกลุ่มนี้

ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่เกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์ (NAFLD)

กลุ่มนี้เกิดจากปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ เช่น

  • โรคอ้วนและน้ำหนักเกิน
    น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐานเป็นสาเหตุหลักของการสะสมไขมันในตับ เนื่องจากร่างกายมีไขมันส่วนเกินที่ไม่ถูกเผาผลาญออกไป
  • ภาวะดื้อต่ออินซูลินและเบาหวาน
    การมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง หรือภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ไม่ดี ส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันในตับ
  • ความผิดปกติของไขมันในเลือด
    ผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลหรือไตรกลีเซอไรด์สูง มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดไขมันพอกตับ เนื่องจากไขมันในเลือดที่สูงส่งผลต่อการทำงานของตับโดยตรง
  • ปัจจัยทางพันธุกรรม
    ความเสี่ยงของการเกิดไขมันพอกตับอาจได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรม เช่น หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ อาจเพิ่มโอกาสในการเกิดไขมันพอกตับได้
  • การใช้ยาบางชนิดและสารพิษ
    การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดคอเลสเตอรอล หรือยาที่มีผลข้างเคียงต่อตับ รวมถึงการสัมผัสสารพิษต่าง ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงของการสะสมไขมันในตับ

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อไขมันพอกตับ?

ภาวะไขมันพอกตับสามารถเกิดขึ้นได้กับคนหลากหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อการสะสมไขมันในตับมากขึ้น ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพร้ายแรงในอนาคต กลุ่มเสี่ยงหลักที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่

  1. คนอ้วนที่มีรอบเอวเกินมาตรฐาน
    ผู้ชายที่มีรอบเอวเกิน 40 นิ้ว และผู้หญิงที่มีรอบเอวเกิน 35 นิ้ว ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เนื่องจากไขมันสะสมในช่องท้องมีผลต่อการสะสมไขมันในตับโดยตรง
  2. ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง
    ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร มีความเสี่ยงต่อการเกิดไขมันพอกตับสูง เพราะระดับน้ำตาลที่ไม่สมดุลส่งผลต่อระบบเผาผลาญและการสะสมไขมัน
  3. ผู้ที่มีไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
    หากมีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะไขมันพอกตับ เนื่องจากไขมันในเลือดที่สูงทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้นในการเผาผลาญไขมัน
  4. ผู้ที่มีไขมันดี (HDL) ต่ำ
    ผู้ชายที่มีระดับ HDL ต่ำกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และผู้หญิงที่มีระดับ HDL ต่ำกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร เป็นกลุ่มเสี่ยง เนื่องจาก HDL มีบทบาทในการกำจัดไขมันส่วนเกินในร่างกาย การมีระดับ HDL ต่ำอาจทำให้ไขมันสะสมในตับเพิ่มขึ้น
  5. ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง
    ความดันโลหิตสูงตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป อาจส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนเลือดและการทำงานของตับ ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะไขมันพอกตับได้

หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ควรหมั่นตรวจสุขภาพและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมในการป้องกันและดูแลสุขภาพตับ

อาการของไขมันพอกตับที่ต้องจับสังเกต

ไขมันพอกตับ อาการในระยะแรกอาจไม่แสดงอาการชัดเจน จนหลายคนไม่ทันสังเกตว่ากำลังมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพตับ แต่เมื่อเริ่มแสดงอาการ ภาวะนี้อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมาก การตรวจสอบและดูแลสุขภาพตับอย่างเหมาะสมจึงมีความสำคัญ โดยวิธีสังเกตอาการที่มักพบในคนที่มีอาการไขมันพอกตับ ได้แก่

  • อาการเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียโดยไม่มีสาเหตุ
    เมื่อไขมันสะสมในตับมากขึ้น การทำงานของตับจะลดลง ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกอ่อนล้า ไม่สดชื่น และมีพลังงานลดลงกว่าปกติ
  • ปวดหรือแน่นบริเวณชายโครงขวา
    ตับที่มีไขมันสะสมอาจทำให้รู้สึกไม่สบายบริเวณชายโครงขวา หรือรู้สึกแน่นและปวดตื้อบริเวณดังกล่าว
  • น้ำหนักขึ้นหรือลดอย่างผิดปกติ
    การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีเหตุผลชัดเจนอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าตับทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับภาวะไขมันพอกตับ
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง
    อาการนี้เกิดจากการสะสมของบิลิรูบินในกระแสเลือด ซึ่งเกิดจากตับที่ทำงานผิดปกติ มักเกิดเมื่อไขมันพอกตับลุกลามจนทำให้ตับอักเสบ ส่งผลต่อการทำงานของตับในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้สารบิลิรูบินสะสมในกระแสเลือด
  • อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
    เมื่อระบบการย่อยอาหารได้รับผลกระทบจากตับที่ทำงานไม่เต็มที่ อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรืออาหารไม่ย่อย

ในระยะแรก ภาวะไขมันพอกตับอาจไม่มีอาการที่ชัดเจนการตรวจสุขภาพเป็นประจำถือจึงเป็นกุญแจสำคัญในการตรวจหาไขมันพอกตับตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม การเฝ้าระวังและดูแลตับอย่างเหมาะสมจะช่วยป้องกันการลุกลามของภาวะนี้ พร้อมทั้งเสริมสร้างสุขภาพตับให้แข็งแรงในระยะยาว

วิธีการวินิจฉัยไขมันพอกตับ

การตรวจสุขภาพและประเมินประวัติการแพทย์

แพทย์จะเริ่มจากการสอบถามประวัติสุขภาพ โดยถามถึงการดื่มแอลกอฮอล์ ความถี่ของการออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง รวมถึงการใช้ยาบางชนิด การตรวจร่างกายเบื้องต้นเพื่อหาสัญญาณของไขมันพอกตับ เช่น น้ำหนักตัวเกิน หรือรอบเอวที่เกินค่ามาตรฐาน จะช่วยให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงและแนะนำแนวทางการดูแลเบื้องต้นได้

การตรวจภาพตับ (Ultrasound, MRI)

การตรวจภาพตับเป็นหนึ่งในวิธีที่แพทย์ใช้เพื่อตรวจสอบระดับไขมันสะสมในตับ โดย Ultrasound จะช่วยให้เห็นภาพรวมของตับว่ามีการสะสมไขมันหรือไม่ และมีความรุนแรงในระดับใด ในขณะที่ MRI จะให้ภาพที่ละเอียดมากกว่า เหมาะสำหรับการประเมินในกรณีที่ซับซ้อนหรือต้องการดูการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อตับ

การตรวจเลือดและค่าการทำงานของตับ

การตรวจเลือดเพื่อประเมินค่าการทำงานของตับ เช่น ตัวบ่งชี้ค่าเอนไซม์พื้นฐานของตับ AST (SGOT) และ ALT (SGPT) เป็นตัวบ่งชี้ว่าตับอาจมีการอักเสบหรือมีภาวะไขมันสะสมมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีการตรวจค่าระดับไขมันในเลือด Lipid Profile เช่น คอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และบิลิรูบิน เพื่อประเมินความสามารถในการทำงานของตับ และตรวจหาความผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง

การดูแลตัวเองเมื่อเป็นไขมันพอกตับ

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาไขมันพอกตับด้วยยาที่สามารถกำจัดไขมันสะสมในตับได้โดยตรง การรักษาหลักจึงเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและพฤติกรรมเพื่อช่วยลดไขมันพอกตับ และเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมให้ดีขึ้น

  • ควบคุมน้ำหนัก
    การลดน้ำหนักที่เหมาะสมและปลอดภัยช่วยลดไขมันพอกตับได้ โดยเป้าหมายควรอยู่ที่การลดน้ำหนักตัวประมาณ 5-10% จากน้ำหนักเดิมอย่างค่อยเป็นค่อยไป การลดน้ำหนักที่รวดเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนั้นควรเลือกวิธีที่สมดุลและเหมาะสมกับร่างกาย
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร
    หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง น้ำตาลทรายขาว อาหารแปรรูป และอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยง่าย ควรเน้นรับประทานผักผลไม้ที่มีกากใย อาหารที่มีไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก ปลา และถั่วเปลือกแข็ง นอกจากนี้ การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยสนับสนุนระบบย่อยอาหารและการทำงานของตับ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว วิ่งเบา ๆ ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ จะช่วยลดไขมันในตับและส่งเสริมการเผาผลาญไขมันในร่างกาย นอกจากนี้ การเพิ่มกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานได้เช่นกัน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
    การลดหรือเลิกการบริโภคแอลกอฮอล์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการลดภาวะไขมันพอกตับ เนื่องจากแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยที่ทำให้ตับทำงานหนักขึ้นและอาจทำให้เกิดตับอักเสบในระยะยาว
  • ควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ
    การดูแลควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันการลุกลามของภาวะไขมันพอกตับ การรับประทานยาตามที่แพทย์แนะนำและการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเป็นแนวทางที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพตับให้แข็งแรง

แนวทางป้องกันไขมันพอกตับ

แม้ภาวะไขมันพอกตับอาจดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใกล้ตัว แต่ความจริงแล้วทุกคนล้วนมีความเสี่ยงหากละเลยการดูแลสุขภาพ การป้องกันภาวะนี้เริ่มต้นได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อเสริมสร้างสุขภาพตับให้แข็งแรงและช่วยให้ตับทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในระยะยาว

อาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงไขมันพอกตับ

การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันไขมันพอกตับ ควรเน้นอาหารที่ช่วยเสริมสุขภาพตับและลดความเสี่ยงของการสะสมไขมัน เช่น

  • อาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผักผลไม้สด ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ไฟเบอร์ช่วยลดการดูดซึมไขมันและปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด
  • แหล่งไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่ว และปลาไขมันดีอย่างปลาแซลมอน ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและส่งเสริมสุขภาพตับ
  • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปและน้ำตาลสูง เช่น ขนมขบเคี้ยวที่มีน้ำตาลทรายขาว น้ำอัดลม และอาหารทอดที่มีไขมันทรานส์ ซึ่งส่งผลให้ไขมันสะสมในตับเพิ่มขึ้น

การออกกำลังกายเพื่อป้องกันไขมันพอกตับ

การออกกำลังกายเป็นอีกวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันไขมันพอกตับ โดยช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันและเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย

  • ออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว วิ่งเบา ๆ ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ เป็นการเผาผลาญพลังงานที่ช่วยลดการสะสมของไขมันในตับได้ดี ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • เสริมการออกกำลังกายแบบแรงต้าน (Strength Training) เช่น การยกน้ำหนักหรือการออกกำลังกายที่ใช้แรงต้าน จะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มอัตราการเผาผลาญในระยะยาว

การลดน้ำหนักอย่างปลอดภัยและการควบคุมน้ำหนัก

  • ลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป การลดน้ำหนักในอัตรา 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ จะช่วยลดไขมันในตับโดยไม่ทำให้ร่างกายเครียดเกินไป
  • ควบคุมปริมาณแคลอรี่และเลือกอาหารที่มีประโยชน์ การลดปริมาณแคลอรี่โดยเน้นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน จะช่วยให้ร่างกายลดการสะสมไขมันในตับและมีสุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาว
  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม การรักษาน้ำหนักให้คงที่และเหมาะสมจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมของไขมันในตับในระยะยาว

แนวทางการป้องกันไขมันพอกตับสามารถเริ่มได้จากการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน การปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างสม่ำเสมอจะช่วยส่งเสริมสุขภาพตับและลดความเสี่ยงของภาวะไขมันพอกตับได้ในระยะยาว

FAQ ไขมันพอกตับ คำถามที่หลายคนสงสัย พร้อมคำตอบที่คุณต้องรู้

ไขมันพอกตับสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?

ในปัจจุบัน ภาวะไขมันพอกตับยังไม่มี “ยารักษา” ที่สามารถทำให้หายขาดได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้สามารถฟื้นฟูได้หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย การเลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจสุขภาพตับเป็นระยะจึงช่วยติดตามภาวะไขมันพอกตับ และปรับการดูแลให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

ไขมันพอกตับเกิดในคนผอมได้หรือไม่?

คำตอบคือ ใช่ คนผอมก็สามารถเกิดภาวะไขมันพอกตับได้ แม้ว่าน้ำหนักตัวจะเป็นปัจจัยหนึ่งในการเพิ่มความเสี่ยง แต่ไขมันพอกตับยังสามารถเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น การดื้อต่ออินซูลิน โรคเบาหวาน หรือการบริโภคอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงโดยไม่มีการเผาผลาญที่เพียงพอ ดังนั้น การดูแลสุขภาพของตับจึงไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าคุณจะมีน้ำหนักเท่าใด

สรุปภาวะไขมันพอกตับ และโปรแกรมดูแลตับให้แข็งแรง

ภาวะไขมันพอกตับ อาจดูเหมือนไม่เป็นอันตรายมากนักในระยะแรก แต่หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจลุกลามกลายเป็นปัญหารุนแรงที่ส่งผลต่อสุขภาพตับและสุขภาพโดยรวม การป้องกันและดูแลตับให้แข็งแรงเริ่มต้นได้จากการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การควบคุมน้ำหนัก การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์

สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพตับ S’RENE by SLC ขอแนะนำบริการเพื่อสุขภาพตับของคุณ

  • โปรแกรมตรวจสุขภาพ Basic Lab Check Up
    ประกอบด้วยการตรวจเลือดหาความเสี่ยงภาวะไขมันพอกตับด้วยตัวบ่งชี้ค่าเอนไซม์พื้นฐานของตับ ALT (SGOT) และ ALT (SGPT) เพื่อประเมินการทำงานของตับอย่างละเอียด ช่วยให้คุณทราบถึงสุขภาพของตับได้อย่างชัดเจน
  • โปรแกรม IV DRIP สูตร Liver Detox
    ช่วยล้างพิษตับ ฟื้นฟูและเสริมการทำงานของตับในการขับสารพิษ เพื่อให้ตับกลับมาแข็งแรงและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

เริ่มต้นดูแลสุขภาพตับของคุณตั้งแต่วันนี้ เพื่อป้องกันภาวะไขมันพอกตับและเสริมสร้างการทำงานของตับให้แข็งแรง การมีสุขภาพตับที่ดีไม่เพียงช่วยให้ร่างกายสมดุล แต่ยังส่งผลให้คุณมีพลังและพร้อมใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในทุกวัน

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือจองคิวปรึกษาแพทย์ที่ S’RENE by SLC ได้แล้ววันนี้

  • สาขา ทองหล่อ ชั้น 4 – โทร 064 184 5237
  • สาขา Paradise Park ชั้น 3 – โทร 081 249 7055
  • สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669
  • LINE: @SRENEbySLC
  • หรือคลิก https://bit.ly/3llXtvw

สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่

Reference

Seitz, H. K., Bataller, R., Cortez-Pinto, H., Gao, B., Gual, A., Lackner, C., Mathurin, P., Mueller, S., Szabo, G., & Tsukamoto, H. (2018). Alcoholic liver disease. Nature reviews. Disease primers, 4(1), 16. https://doi.org/10.1038/s41572-018-0014-7

Saiman, Y., Duarte-Rojo, A., & Rinella, M. E. (2022). Fatty Liver Disease: Diagnosis and Stratification. Annual review of medicine, 73, 529–544. https://doi.org/10.1146/annurev-med-042220-020407

Cotter, T. G., & Rinella, M. (2020). Nonalcoholic Fatty Liver Disease 2020: The State of the Disease. Gastroenterology, 158(7), 1851–1864. https://doi.org/10.1053/j.gastro.2020.01.052

Pouwels, S., Sakran, N., Graham, Y., Leal, A., Pintar, T., Yang, W., Kassir, R., Singhal, R., Mahawar, K., & Ramnarain, D. (2022). Non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD): a review of pathophysiology, clinical management and effects of weight loss. BMC endocrine disorders, 22(1), 63. https://doi.org/10.1186/s12902-022-00980-1

สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่