“ทุกวินาทีมีค่า” วลีนี้มีความหมายอย่างยิ่งในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยเฉพาะเมื่อพบผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้นและต้องการความช่วยเหลือ เพราะการช่วยเหลือที่ล่าช้าเพียงไม่กี่นาทีอาจหมายถึงการสูญเสียชีวิต
Cardiac Arrest (ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน) คือภาวะที่หัวใจหยุดทำงานอย่างกะทันหัน ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดในร่างกายหยุดชะงัก กระทบต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญ โดยเฉพาะสมองที่ต้องการออกซิเจนอย่างต่อเนื่อง ภาวะนี้แตกต่างจากภาวะหัวใจวาย เพราะเกิดขึ้นแบบไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า และหากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที โอกาสรอดชีวิตจะลดลงอย่างรวดเร็ว
บทความนี้จะอธิบายถึงสาเหตุ กลุ่มเสี่ยง วิธีสังเกตอาการ ขั้นตอนการช่วยเหลือ และการป้องกัน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะการเข้าใจและรู้วิธีรับมือกับภาวะ Cardiac Arrest อาจเป็นความรู้ที่ช่วยต่อชีวิตได้ในยามวิกฤต
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Cardiac Arrest) คืออะไร?
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หรือ Sudden Cardiac Arrest คือภาวะที่หัวใจหยุดสูบฉีดเลือดอย่างฉับพลัน อันเกิดจากความผิดปกติในระบบไฟฟ้าของหัวใจ ทำให้การเต้นของหัวใจหยุดชะงัก และเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปยังสมอง ปอด และส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้
ในภาวะปกติ หัวใจจะเต้นอย่างเป็นจังหวะด้วยกระแสไฟฟ้าที่ทำงานสอดประสานกันอย่างสมดุล แต่เมื่อเกิดความผิดปกติในระบบไฟฟ้าหัวใจ จะส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะและอาจหยุดเต้นในที่สุด ซึ่งภาวะ Cardiac Arrest นี้แตกต่างจาก “หัวใจวาย” (Heart Attack) ที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ
เมื่อเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะหมดสติทันที หยุดหายใจ และไม่มีชีพจร หากไม่ได้รับการช่วยเหลือภายใน 4-6 นาที สมองจะขาดออกซิเจนและได้รับความเสียหายอย่างถาวร การช่วยเหลือเบื้องต้นด้วยการทำ CPR และใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า (AED) อย่างทันท่วงที จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้กับผู้ป่วยได้
สาเหตุของหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Cardiac Arrest) มีอะไรบ้าง?
ภาวะ Cardiac Arrest หรือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เกิดจากความผิดปกติในระบบไฟฟ้าของหัวใจที่ส่งผลให้หัวใจหยุดทำงานอย่างกะทันหัน ทำให้การไหลเวียนเลือดไปสู่อวัยวะสำคัญหยุดชะงัก โดยมีสาเหตุหลักดังนี้
1. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)
การทำงานผิดปกติของระบบไฟฟ้าในหัวใจ เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน โดยเฉพาะภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ (Ventricular Tachycardia) หรือหัวใจเต้นพริ้ว (Ventricular Fibrillation) ซึ่งทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease)
การสะสมของไขมันหรือคราบพลัคในหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น โดยเฉพาะเมื่อมีการอุดตันเฉียบพลันของหลอดเลือดหัวใจ
3. โรคกล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiomyopathy)
ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวหรืออ่อนแรง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการสูบฉีดเลือด และอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้นได้
4. ความผิดปกติทางพันธุกรรม
โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าหัวใจที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น กลุ่มอาการ Long QT หรือ Brugada Syndrome สามารถทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
5. ปัจจัยภายนอก
การใช้สารเสพติด การได้รับยาบางชนิด หรือการได้รับไฟฟ้าช็อต อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นได้ในบางกรณี นอกจากนี้ การออกกำลังกายหักโหมในผู้ที่มีโรคหัวใจแฝงอยู่ก็เพิ่มความเสี่ยงได้เช่นกัน
การเข้าใจสาเหตุของภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันและลดความเสี่ยง การตรวจสุขภาพหัวใจอย่างสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ป่วยที่หัวใจหยุดการทำงาน (Cardiac Arrest) จะสามารถสังเกตได้อย่างไร?
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Cardiac Arrest) มักเกิดขึ้นแบบไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่เมื่อภาวะนี้เกิดขึ้น ร่างกายจะแสดงอาการที่สังเกตได้ชัดเจน หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบให้การช่วยเหลือทันทีเพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิต
1. หมดสติและไม่ตอบสนอง
ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นจะหมดสติทันที ไม่ตอบสนองต่อการเรียกหรือสัมผัส แม้จะกระตุ้นแรง ๆ ก็ตาม ลักษณะนี้แตกต่างจากการหลับปกติ
2. หยุดหายใจหรือหายใจผิดปกติ
จะสังเกตพบการหยุดหายใจ หรือมีการหายใจเฮือก (Agonal Breathing) ซึ่งเป็นการหายใจช้าและตื้น ไม่สม่ำเสมอ ลักษณะคล้ายการกระตุกหรือสะอึก
3. ไม่มีชีพจร
ไม่สามารถตรวจพบชีพจรที่คอ (บริเวณเส้นเลือดแดงคาโรติด) หรือข้อมือ ในกรณีนี้ ควรเริ่มการช่วยเหลือฉุกเฉินทันที
4. ผิวซีดหรือเขียวคล้ำ
เมื่อเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกาย ผิวหนังจะเปลี่ยนเป็นสีซีดหรือเขียวคล้ำ โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปากและปลายนิ้ว
5. กล้ามเนื้ออ่อนแรงฉับพลัน
ในบางกรณี ก่อนหมดสติ ผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนแรงเฉียบพลัน ล้มลงหรือทรุดตัวลงทันที
5 ขั้นตอนสำคัญ เมื่อพบผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Cardiac Arrest) พบผู้ป่วย Cardiac Arrest ต้องทำอย่างไร?
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Cardiac Arrest) เป็นเหตุการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพราะทุกนาทีที่ผ่านไปโอกาสรอดชีวิตจะลดลงอย่างรวดเร็ว การรู้และเข้าใจขั้นตอนการช่วยเหลือที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
1. โทรแจ้ง 1669 ทันที
ทันทีที่พบผู้ป่วยหมดสติหรือไม่ตอบสนอง ให้รีบโทรแจ้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน (1669) พร้อมแจ้งข้อมูลที่สำคัญ เช่น สถานที่เกิดเหตุและอาการของผู้ป่วย เพื่อให้ทีมแพทย์ฉุกเฉินสามารถมาถึงได้อย่างรวดเร็ว
2. ตรวจสอบอาการผู้ป่วย
เริ่มจากการตรวจการหายใจ หากผู้ป่วยไม่หายใจหรือมีการหายใจเฮือก (Agonal Breathing) ให้สันนิษฐานว่าหัวใจหยุดเต้น จากนั้นตรวจชีพจรที่คอ หากไม่พบการเต้นของชีพจร แสดงว่าผู้ป่วยอาจอยู่ในภาวะหัวใจหยุดเต้น
3. เริ่มทำ CPR ทันที
การปั๊มหัวใจเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำอย่างถูกต้อง โดยวางมือที่กึ่งกลางหน้าอก กดลึก 5-6 เซนติเมตร ด้วยอัตราเร็ว 100-120 ครั้งต่อนาที ต้องปล่อยให้หน้าอกคืนตัวสมบูรณ์หลังการกดแต่ละครั้ง และต้องไม่หยุดกดนานเกิน 10 วินาที
4. ใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า (AED)
เมื่อมีเครื่อง AED ให้นำมาใช้ทันที โดยเปิดเครื่องและปฏิบัติตามคำแนะนำที่เครื่องบอก ติดแผ่นอิเล็กโทรดตามตำแหน่งที่กำหนด และให้ทุกคนถอยห่างจากผู้ป่วยขณะเครื่องทำการวิเคราะห์และกระตุกไฟฟ้า
5. ทำ CPR ต่อเนื่องจนกว่าทีมแพทย์จะมาถึง
การทำ CPR ต้องทำอย่างต่อเนื่อง สลับกับการใช้ AED หากมีผู้ช่วยเหลือหลายคน ควรสลับกันทำ CPR ทุก 2 นาที เพื่อรักษาประสิทธิภาพในการกดหน้าอก ห้ามหยุดทำ CPR จนกว่าทีมแพทย์จะมาถึง หรือผู้ป่วยมีสัญญาณการหายใจกลับมา
การช่วยเหลืออย่างรวดเร็วในช่วง 4-6 นาทีแรกมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหลังจากนั้น สมองจะเริ่มได้รับความเสียหายจากการขาดออกซิเจน การรู้จักสังเกตอาการและให้การช่วยเหลือที่ถูกต้องจึงเป็นทักษะสำคัญที่อาจช่วยชีวิตผู้อื่นได้
ใครคือกลุ่มเสี่ยงหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน?
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Cardiac Arrest) เป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป อันเนื่องมาจากปัจจัยด้านสุขภาพหรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต กลุ่มเสี่ยงหลักได้แก่
1. ผู้ที่มีโรคหัวใจเรื้อรัง
ผู้ที่มีประวัติหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ หรือเคยมีภาวะหัวใจวายมาก่อน มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
2. ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นพริ้ว (Ventricular Fibrillation) หรือหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ (Ventricular Tachycardia) มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น
3. ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD)
ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือมีภาวะไขมันในเลือดสูง มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเนื่องจากโรคเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ
4. ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
บุคคลที่มีประวัติครอบครัวเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หรือเสียชีวิตจากโรคหัวใจในวัยหนุ่มสาว มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
5. ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
- การสูบบุหรี่
- การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
- การมีภาวะเครียดเรื้อรัง
- การขาดการออกกำลังกาย
- การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพหัวใจอย่างสม่ำเสมอ การตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้สามารถวางแผนป้องกันและดูแลสุขภาพหัวใจได้อย่างเหมาะสม
วิธีประเมินความเสี่ยงและป้องกันภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Cardiac Arrest)
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Cardiac Arrest) เป็นเหตุการณ์ที่อันตรายถึงชีวิต แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการประเมินสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดอย่างละเอียด การตรวจสุขภาพที่ตรงจุดและสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและดูแลหัวใจให้แข็งแรง
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: EKG/ECG)
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นการวินิจฉัยเบื้องต้นเพื่อประเมินการทำงานของหัวใจ ช่วยตรวจหาความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจ เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือการทำงานที่ผิดปกติในระบบไฟฟ้าของหัวใจ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน การตรวจนี้มีความรวดเร็ว ไม่เจ็บตัว และเหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคหัวใจ หรือผู้ที่เคยมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น หรือแน่นหน้าอก
การตรวจเลือดเพื่อประเมินความเสี่ยง
การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar) ช่วยประเมินความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ส่วนการตรวจระดับไขมันในเลือด (Lipid Profile) จะวัดระดับไขมัน LDL, HDL, ไตรกลีเซอไรด์ และคอเลสเตอรอล เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดอุดตัน
การตรวจสุขภาพหลอดเลือด ABI (Ankle-Brachial Index)
การตรวจ ABI เป็นการประเมินการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดแดงส่วนปลาย โดยเปรียบเทียบความดันเลือดที่แขนและข้อเท้า ช่วยบ่งชี้ความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด
ตรวจ CT Calcium Score
การตรวจวัดระดับหินปูนในหลอดเลือดหัวใจช่วยประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ยิ่งมีการสะสมของหินปูนมาก ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
การประเมินความเสี่ยงด้วยวิธีเหล่านี้ช่วยให้สามารถวางแผนการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ในระยะยาว
หากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการตรวจและการดูแลสุขภาพหัวใจอย่างเหมาะสม เพราะการป้องกันที่เริ่มต้นได้เร็วที่สุด ย่อมช่วยลดความเสี่ยงในอนาคตได้ดีที่สุด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Cardiac Arrest)
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน กับ ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ต่างกันอย่างไร?
แม้จะเกี่ยวข้องกับหัวใจเหมือนกัน แต่ภาวะทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
- หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Cardiac Arrest) เกิดจากความผิดปกติในระบบไฟฟ้าของหัวใจ ทำให้หัวใจหยุดสูบฉีดเลือดทันที ส่งผลให้ร่างกายขาดออกซิเจน หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว อาจเสียชีวิตได้ในเวลาไม่กี่นาที
- หัวใจวาย (Heart Attack) เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเสียหายอย่างถาวร
อะไรคือสัญญาณเตือนที่อาจเกิดก่อนภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน?
แม้ว่าภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน มักเกิดขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือนชัดเจน แต่บางครั้งผู้ป่วยอาจมีอาการมาก่อน เช่น อาการวิงเวียนศีรษะ หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ใจสั่น หรือหมดสติ หากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพหัวใจอย่างละเอียด
ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันสามารถเกิดจากความเครียดหรือไม่?
ความเครียดเรื้อรังอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงของภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เนื่องจากความเครียดส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมน เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งอาจทำให้ความดันโลหิตสูงและกระตุ้นการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ
ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอมีโอกาสเกิดหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันหรือไม่?
แม้ว่าการออกกำลังกายจะเป็นการเสริมสร้างสุขภาพหัวใจ แต่หากมีโรคหัวใจแฝงอยู่ เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ การออกกำลังกายหนักเกินไปอาจกระตุ้นให้เกิดหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ การปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกาย โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
หัวใจหยุดเต้น กี่นาที จึงจะอันตรายถึงชีวิต?
สมองจะเริ่มได้รับความเสียหายจากการขาดออกซิเจนหลังจากหัวใจหยุดเต้นเพียง 4-6 นาที และความเสียหายนี้อาจเป็นแบบถาวร ดังนั้นการช่วยเหลือในช่วงเวลาวิกฤตนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อโอกาสรอดชีวิตและการฟื้นตัวของผู้ป่วย
สรุป Cardiac Arrest คืออะไร? ภาวะวิกฤตที่ต้องเฝ้าระวังและป้องกัน
Cardiac Arrest หรือภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่อันตรายถึงชีวิต เกิดจากความผิดปกติในระบบไฟฟ้าของหัวใจ ทำให้หัวใจหยุดสูบฉีดเลือดอย่างกะทันหัน หากไม่ได้รับการช่วยเหลือทันที อาจนำไปสู่การเสียชีวิตในเวลาเพียงไม่กี่นาที ภาวะนี้มักเกิดขึ้นแบบไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า การตรวจสุขภาพหัวใจและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมจึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกัน
การรู้เท่าทันและประเมินความเสี่ยงของภาวะนี้อย่างละเอียด เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) การตรวจ ABI หรือการตรวจสุขภาพหัวใจแบบเชิงลึก เป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
S’RENE by SLC คลินิกสุขภาพคนเมือง เราให้ความสำคัญกับการดูแลหัวใจและหลอดเลือดอย่างองค์รวม ผ่านบริการตรวจสุขภาพและฟื้นฟูที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณดูแลสุขภาพหัวใจอย่างเต็มประสิทธิภาพ
- โปรแกรมตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
ตรวจจังหวะและความผิดปกติในระบบไฟฟ้าของหัวใจ เพื่อวินิจฉัยความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้น - โปรแกรมตรวจ ABI (Ankle-Brachial Index)
ประเมินความเสี่ยงของหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดหัวใจและภาวะหัวใจหยุดเต้น - โปรแกรม Basic Lab Check Up
ตรวจระดับไขมันในเลือด (Lipid Profile) เช่น LDL, HDL และไตรกลีเซอไรด์ รวมถึงน้ำตาลในเลือด เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ - โปรแกรมตรวจ CT Calcium Score
วัดระดับหินปูนในหลอดเลือดหัวใจเพื่อประเมินความเสี่ยงของการอุดตันในหลอดเลือด - โปรแกรม IV Drip สูตร Vascular Care
โปรแกรมฟื้นฟูสุขภาพหลอดเลือดด้วยวิตามินและแร่ธาตุสูตรเฉพาะ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด ลดการอักเสบ และเสริมประสิทธิภาพระบบไหลเวียนโลหิต
อย่าปล่อยให้ความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดสะสมจนเกิดภาวะฉุกเฉิน เริ่มดูแลสุขภาพหัวใจตั้งแต่วันนี้ด้วยการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ป้องกันที่ S’RENE by SLC เพื่อวางแผนการตรวจและดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับคุณ
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายได้ที่ S’RENE by SLC
- สาขา ทองหล่อ ชั้น 4 – โทร 064 184 5237
- สาขา Paradise Park ชั้น 3 – โทร 081 249 7055
- สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669
- LINE: @SRENEbySLC
- หรือคลิก https://bit.ly/3llXtvw
สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่
- Facebook: www.facebook.com/SrenebySLC
- IG: www.instagram.com/srene.byslc
- TikTok: www.tiktok.com/@srenebyslc
Reference
Centers for Disease Control and Prevention. (n.d.). About cardiac arrest. Centers for Disease Control and Prevention. https://www.cdc.gov/heart-disease/about/cardiac-arrest.html
Causes of cardiac arrest. www.heart.org. (2024, June 18). https://www.heart.org/en/health-topics/cardiac-arrest/causes-of-cardiac-arrest
Chrispin, J. (2021, August 8). Cardiac arrest. Johns Hopkins Medicine. https://www.hopkinsmedicine.org/health/conditions-and-diseases/cardiac-arrest
สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่