อาการปวดท้องประจำเดือน (Dysmenorrhea) หรือ ปวดท้องเมนส์เป็นสิ่งที่ผู้หญิงหลายคนต้องเผชิญในทุก ๆ เดือน โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์ หรือช่วงวัยรุ่น โดยอาการนี้เกิดจากการบีบตัวของมดลูกที่มีการหลั่งสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก เพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกที่ไม่จำเป็นออกมาเป็นประจำเดือน จนทำให้มีอาการปวดท้องนั่นเอง
แม้จะฟังดูเหมือนว่า ปวดท้องเมน เป็นเรื่องธรรมชาติ บางคนอาจจะเป็นแค่ความไม่สบายเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สำหรับหลายคนก็จะมีอาการปวดท้องรุนแรงถึงขั้นกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น ปวดจนลุกไม่ขึ้น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือแม้กระทั่งหมดสติได้ มาดูกันว่าทำไมเราถึงปวดท้องประจำเดือน แล้วจะมีวิธีจัดการดูแลตัวเองและเตรียมพร้อมรับมือกับอาการปวดนี้อย่างไรบ้าง?
อาการปวดท้องประจําเดือน มีลักษณะอย่างไร?
อาการปวดท้องประจำเดือน หรือ ปวดท้องเมนส์ มีลักษณะเฉพาะที่สามารถสังเกตได้ชัดเจน มักเกิดขึ้นในช่วงที่มดลูกบีบตัวเพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกออกมา ทำให้เกิดความรู้สึกปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย และอาจมีอาการร่วมต่าง ๆ โดยอาการเหล่านี้สามารถเกิดได้ตั้งแต่ 1-2 วันก่อนหรือระหว่างที่มีรอบเดือน และมักลดลงเมื่อผ่านไป 2-3 วัน
1. ปวดหน่วงในบริเวณท้องน้อย
- มักรู้สึกเหมือนมีแรงบีบหรือดึงในบริเวณท้องน้อย
- อาการหน่วงอาจกระจายไปที่หลังส่วนล่างหรือสะโพก
2. ปวดแบบบีบตัวเป็นจังหวะ
- เกิดจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก เพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกออก
- อาการปวดมักจะมาเป็นช่วง ๆ และหายไปก่อนกลับมาใหม่
3. ปวดรุนแรง
- สำหรับบางคน อาการปวดอาจรุนแรงจนทำให้ไม่สามารถทำกิจกรรมปกติได้
- มักมีผลต่อสมาธิและการนอนหลับ
อาการร่วมที่พบได้บ่อย
นอกจากอาการปวดท้อง ยังมีอาการอื่นที่เกิดร่วมกันได้ เช่น
- คลื่นไส้และอาเจียน: บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนจากการบีบตัวของมดลูก
- ท้องเสียหรือท้องผูก: เกิดจากผลของโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ที่กระตุ้นลำไส้
- ปวดหลัง: ปวดร้าวไปยังหลังส่วนล่าง หรือบางครั้งถึงขา
- อ่อนเพลีย: ความปวดและการเสียเลือดอาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย
- ปวดศีรษะ: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะในบางคน
ช่วงเวลาของอาการปวด
- ก่อนมีประจำเดือน 1-2 วัน: มักจะมีอาการปวดท้องก่อนเมนส์มาล่วงหน้า อาจเริ่มก่อนที่ประจำเดือนจะมามากกว่า 1-2 วัน โดยเฉพาะในคนที่มีระดับโพรสตาแกลนดินสูง
- ในช่วง 1-3 วันแรกของรอบเดือน: อาการปวดมักรุนแรงที่สุดในวันแรกของรอบเดือน และค่อย ๆ บรรเทาลง
ระดับความรุนแรงของอาการปวด
- ปวดเล็กน้อย (Mild): สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่มีอาการรบกวนเล็กน้อย
- ปวดปานกลาง (Moderate): รู้สึกไม่สบาย อาจต้องพักผ่อนหรือต้องใช้ยาแก้ปวด
- ปวดรุนแรง (Severe): ปวดจนทำให้ไม่สามารถทำงานหรือกิจกรรมได้ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือหมดสติร่วมด้วย
*หมายเหตุ: หากมีอาการปวด ที่รุนแรงและไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง ควรพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและรับการรักษาที่ถูกต้อง และทันท่วงที
*ปุ่มกดปรึกษาแพทย์
สาเหตุการปวดท้องประจําเดือน เกิดขึ้นได้ยังไง?
สาเหตุของอาการปวดท้องประจำเดือนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ซึ่งมีปัจจัยและกลไกที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. ปวดประจำเดือนปฐมภูมิ (Primary Dysmenorrhea)
อาการปวดท้องประจำเดือนประเภทนี้ สามารถพบได้ทั่วไปในวัยรุ่นหรือผู้หญิงที่เริ่มมีประจำเดือนใหม่ ๆ อาการนี้มักไม่เกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะผิดปกติอื่น ๆ รวมถึงไม่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์
สาเหตุหลัก: เกิดจากการหลั่งสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ในปริมาณสูงระหว่างรอบเดือน ซึ่งส่งผลให้
- กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัวมากเกินไป: เพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกออกมา
- การลดการไหลเวียนเลือดในมดลูก: ทำให้เกิดการปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย
- การกระตุ้นปลายประสาทในมดลูก: สารโพรสตาแกลนดินมีฤทธิ์กระตุ้นปลายประสาท ส่งผลให้รู้สึกปวด
ลักษณะของอาการ
- ปวดท้องน้อยในช่วงก่อนหรือระหว่าง 1-3 วันแรกของรอบเดือน
- ปวดแบบบีบตัวหรือปวดหน่วงที่ท้องน้อย
- อาจมีอาการร่วม เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย หรือปวดหลัง
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อปวดแบบปฐมภูมิ
- วัยรุ่นหรือวัยรุ่นตอนต้นที่เริ่มมีประจำเดือน
- ผู้ที่มีรอบเดือนปกติแต่มีอาการปวดทุกครั้ง
2. ปวดประจำเดือนทุติยภูมิ (Secondary Dysmenorrhea)
อาการปวดท้องประจำเดือนที่เกิดจากปัญหาสุขภาพหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ โดยเกิดจากความผิดปกติ มักพบในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ที่เคยมีประจำเดือนมาแล้วหลายปี
สาเหตุหลัก: เกิดจากโรคหรือความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์ เช่น
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis): เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญเติบโตนอกมดลูก เช่น บริเวณรังไข่หรืออุ้งเชิงกราน ทำให้เกิดการอักเสบและปวดท้องเมนส์รุนแรง
- เนื้องอกในมดลูก (Uterine Fibroids): ก้อนเนื้อที่เจริญเติบโตในมดลูกส่งผลให้มดลูกบีบตัวผิดปกติ
- การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease): เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบสืบพันธุ์ เช่น ปีกมดลูกหรือรังไข่
- ภาวะมดลูกคว่ำ (Retroverted Uterus): ตำแหน่งของมดลูกที่ผิดปกติอาจทำให้เกิดแรงกดและปวด
- ภาวะถุงน้ำในรังไข่ (Ovarian Cysts): ถุงน้ำที่เกิดในรังไข่อาจสร้างแรงดันและทำให้รู้สึกปวด
ลักษณะของอาการ
- ปวดรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงรอบเดือน
- อาการปวดมักเริ่มก่อนประจำเดือนและคงอยู่จนรอบเดือนหมด
- ปวดที่บริเวณท้องน้อย หลัง หรือสะโพก
- อาจมีประจำเดือนมามากผิดปกติหรือมีลิ่มเลือดร่วมด้วย
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อปวดแบบทุติยภูมิ
- ผู้หญิงที่มีปัญหาโรคทางนรีเวช
- ผู้ที่มีประวัติการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์
- ผู้ที่เคยตั้งครรภ์หรือแท้งบุตรมาก่อน
ความเสี่ยงที่ควรรู้? หากมีอาการปวดท้องประจำเดือนรุนแรงและเรื้อรัง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า หากคุณมีอาการปวดท้องประจำเดือนที่รุนแรงหรือเป็นเรื้อรัง อาจเป็นการปวดท้องประจำเดือนแบบทุติยภูมิ ซึ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ควรปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยหรือการรักษา เพราะนอกจากจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตแล้ว ยังอาจเป็นสัญญาณของโรคหรือภาวะผิดปกติที่ซ่อนอยู่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในระยะยาว ดังนี้
1. เสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก (Infertility)
- โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis): ภาวะนี้ทำให้เนื้อเยื่อเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญอยู่นอกมดลูก เช่น รังไข่หรืออุ้งเชิงกราน ส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง การสร้างพังผืด และอาจทำให้ท่อนำไข่อุดตัน
- โรคติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease – PID): การติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษาอาจส่งผลให้เกิดพังผืดหรือทำลายโครงสร้างของระบบสืบพันธุ์
- หากปวดประจำเดือนมากและสัมพันธ์กับภาวะเหล่านี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีบุตรยากในอนาคต
2. เสี่ยงต่อการเกิดซีสต์หรือเนื้องอกในระบบสืบพันธุ์
- ถุงน้ำรังไข่ (Ovarian Cysts): การปวดท้องประจำเดือนที่สัมพันธ์กับซีสต์ในรังไข่อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพ เช่น PCOS (Polycystic Ovary Syndrome) หรือซีสต์ที่อาจแตกออกและทำให้เกิดอาการปวดเฉียบพลัน
- เนื้องอกในมดลูก (Uterine Fibroids): ก้อนเนื้องอกที่ใหญ่ขึ้นสามารถกดทับอวัยวะข้างเคียงและสร้างแรงดัน ทำให้เกิดอาการปวดรุนแรงและเรื้อรัง
3. เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังอื่น ๆ
- ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง (Chronic Pelvic Pain): เกิดจากการปวดท้องประจำเดือนที่ไม่ได้รับการรักษา ส่งผลให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบ ๆ อุ้งเชิงกรานไวต่อความเจ็บปวดมากขึ้น
- โรคระบบทางเดินอาหาร: อาการปวดท้องอาจเกิดจากโรคร่วม เช่น โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome – IBS) ที่มีอาการคล้ายคลึงกับปวดประจำเดือน
- โรคถุงน้ำในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Congestion Syndrome): เกิดจากหลอดเลือดดำในอุ้งเชิงกรานขยายตัวและอักเสบ
4. เสี่ยงต่อคุณภาพชีวิตที่ลดลง
- ความเครียดและสุขภาพจิต: การปวดประจำเดือนรุนแรงเรื้อรังส่งผลให้เกิดความเครียด ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
- การขาดงานหรือการเรียน: ผู้หญิงที่ปวดท้องประจำเดือนรุนแรงมักมีปัญหาในการทำงานหรือการเรียน เนื่องจากอาการปวดที่ทำให้ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้
- ความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือคู่รัก: อาการปวดเรื้อรังอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่เจ็บปวด (Dyspareunia)
5. เสี่ยงต่อการวินิจฉัยโรคร้ายแรงช้า
- อาการปวดประจำเดือนเรื้อรังอาจเป็นสัญญาณของโรคที่ร้ายแรง เช่น มะเร็งรังไข่ หรือ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก หากละเลยไม่ตรวจเช็กสุขภาพหรือรับการรักษา
สิ่งที่ควรทำเพื่อลดความเสี่ยง
- พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย: หากปวดท้องเมนส์รุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ เช่น การอัลตราซาวนด์ การตรวจภายใน หรือการส่องกล้อง รวมถึงตรวจเช็กระดับฮอร์โมน
- รักษาตามคำแนะนำแพทย์: เช่น การใช้ยา การบำบัดด้วยฮอร์โมน หรือการผ่าตัดในกรณีที่จำเป็น
- ปรับพฤติกรรมสุขภาพ: ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีโอเมก้า-3
- สังเกตอาการ: หากมีอาการผิดปกติ เช่น ประจำเดือนมามาก ปวดรุนแรงจนไม่สามารถทำงานได้ ควรพบแพทย์ทันที
*ปุ่มกดปรึกษาแพทย์
อาการปวดท้องประจำเดือนแบบไหนที่ต้องเข้าพบแพทย์?
อาการปวดท้องประจำเดือน หรือ ปวดท้องเมนส์ เป็นเรื่องธรรมชาติที่ผู้หญิงหลายคนเผชิญ แต่หากอาการปวดนั้นรุนแรงผิดปกติหรือมีลักษณะบางอย่างที่น่ากังวล ควรพบแพทย์ทันที ถ้าหากมีอาการเหล่านี้
- ประจำเดือนมามากกว่าปกติ (Menorrhagia): มีเลือดประจำเดือนออกมากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 1-2 ชั่วโมง หรือมีลิ่มเลือดขนาดใหญ่ร่วมด้วย
- ปวดประจำเดือนพร้อมกับมีไข้: อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์ หรือปวดร่วมกับอาการอื่นที่ผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน รวมถึงท้องเสียหรือปัสสาวะลำบาก
- ปวดรุนแรงจนไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวันได้: มีอาการปวดท้องประจำเดือนมากและรุนแรง ทำให้ต้องหยุดเรียน หยุดงาน หรือไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้
- ปวดนานผิดปกติ: มีอาการปวดที่เริ่มก่อนประจำเดือนหลายวัน และยังคงปวดท้องเมนส์มากต่อเนื่องตลอดช่วงรอบเดือน
- ปวดท้องร่วมกับตกขาวผิดปกติ: หากมีตกขาวที่มีกลิ่นเหม็น สีเปลี่ยนแปลง หรือมีปริมาณมากผิดปกติร่วมกับอาการปวด อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์
- อาการปวดไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวด: หากการใช้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน ไม่สามารถบรรเทาอาการได้อาจบ่งบอกถึงปัญหาที่รุนแรงและซับซ้อน ควรปรึกษาแพทย์
วิธีแก้อาการปวดท้องประจำเดือน ปวดนี้แก้ได้ไม่ได้ยาก!
ปวดท้องเมนส์ ทําไงดี? ปวดท้องประจำเดือน วิธีแก้เบื้องต้นง่าย ๆ หากมีอาการปวดที่ไม่รุนแรง สามารถบรรเทาได้ด้วยตัวเอง หรือลองแก้ตามวิธีเหล่านี้ได้เอง
1. ใช้ความร้อนบรรเทาอาการปวด
- ประคบร้อน: ใช้ถุงน้ำร้อนหรือแผ่นประคบร้อนวางบนท้องน้อย จะช่วยลดการบีบตัวของมดลูกและเพิ่มการไหลเวียนเลือด
- อาบน้ำอุ่น: การแช่น้ำอุ่นสามารถช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดอาการปวดได้
2. ออกกำลังกายเบา ๆ
- การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและลดการหลั่งของโพรสตาแกลนดินที่เป็นสาเหตุของอาการปวด
- ลองกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น โยคะ ท่า Cat-Cow หรือการเดินเบา ๆ ช่วยลดการบีบตัวของมดลูก และเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
3. ปรับอาหารให้เหมาะสม
- หลีกเลี่ยง: อาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง หรือมีคาเฟอีน เพราะอาจทำให้อาการปวดแย่ลง
- เน้นอาหารที่มีประโยชน์: ปวดท้องประจําเดือน กินอะไรดี ให้เน้นอาหารที่มีประโยชน์
๏ ผักใบเขียว เช่น ผักโขม ผักคะน้า
๏ อาหารที่มีโอเมก้า-3 เช่น ปลาแซลมอน
๏ ธัญพืช เช่น เมล็ดแฟลกซ์ หรือถั่วอัลมอนด์
๏ แมกนีเซียม เช่น กล้วย ช่วยลดการบีบตัวของมดลูก
๏ หลีกเลี่ยงของแปรรูป และมันเยอะ
4. ใช้ยาแก้ปวด
วิธีแก้ปวดท้องเมนที่ไม่รุนแรง สามารถบรรเทาได้ด้วยยาที่หาได้ทั่วไปตามร้านขายยา อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ยาควรทำอย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย
- ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) – ลดการบีบตัวของมดลูก
- เมเฟนามิก แอซิด (Mefenamic Acid) – บรรเทาอาการปวดเฉพาะช่วงประจำเดือน
- พาราเซตามอล (Paracetamol) – ลดปวดระดับเบาถึงปานกลาง
- นาพรอกเซน (Naproxen) – สำหรับปวดรุนแรงและนาน
- ยาแก้ปวดเกร็ง (Antispasmodics) เช่น Buscopan – ลดอาการปวดจากมดลูกบีบตัว
*หมายเหตุ: ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเพื่อความปลอดภัย
5. ผ่อนคลายความเครียด
ความเครียดสามารถกระตุ้นให้อาการปวดรุนแรงขึ้นได้ ลองใช้วิธีผ่อนคลาย เช่น
- การนั่งสมาธิ
- ฟังเพลงที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
- การหายใจลึก ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย
6. สมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการ
- ขิง: ดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ หรือชาสมุนไพรเพื่อลดอาการปวด
- ชาเปปเปอร์มินต์: ช่วยลดการอักเสบและเพิ่มความรู้สึกสบาย
7. ควรตรวจสุขภาพทันทีหากมีอาการรุนแรงขึ้น
หากมีอาการปวดประจำเดือนไม่ตอบสนองต่อการดูแลตัวเอง และเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันหรือรุนแรงขึ้น ควรพิจารณาตรวจสุขภาพกับแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง โดยแพทย์อาจพิจารณาการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุของอาการปวด ได้แก่
- การตรวจภายใน (Pelvic Exam): เพื่อค้นหาสัญญาณของการอักเสบ เนื้องอก หรือโรคทางนรีเวช
- การอัลตราซาวนด์ (Ultrasound): ตรวจสอบความผิดปกติ เช่น เนื้องอกในมดลูก ถุงน้ำในรังไข่ หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- การส่องกล้องตรวจช่องท้อง (Laparoscopy): ใช้กล้องขนาดเล็กตรวจอวัยวะในอุ้งเชิงกรานเพื่อยืนยันโรค เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- การตรวจเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมน: เพื่อตรวจหาภาวะติดเชื้อหรือปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน เพื่อวางแผนดูแลสุขภาพ
- การตรวจ MRI (Magnetic Resonance Imaging): ใช้ในกรณีที่ต้องการภาพรายละเอียดของอวัยวะในช่องท้อง
สรุปว่า อาการ ‘ปวดท้องประจําเดือน’ คืออาการปวดที่ไม่ควรทน และปล่อยปละละเลย!
อาการปวดท้องประจำเดือนอาจเป็นเรื่องธรรมชาติของผู้หญิงที่ดูเหมือนต้องทน แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรงหรือมีลักษณะผิดปกติก็ไม่ควรทน เช็กดูอาการของตนเอง ไม่ว่าจะมีอาการปวดเรื้อรัง ปวดท้องเมนส์จนนอนไม่ได้ ปวดจนใช้ชีวิตประจำวันลำบากควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง โดยเฉพาะขั้นตอนแรกสุดอาจจะเป็นการมาตรวจสุขภาพ เช็กระดับฮอร์โมน ส่วนใครที่มีอาการหนัก ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
สำหรับใครที่อยากตรวจวัดระดับฮอร์โมน และวางแผนดูแลสุขภาพ S’RENE by SLC ก็มีโปรแกรม His & Her Wellness Lab Check Up Program – FEMALE Level 3 (15,900.- 20 รายการตรวจ) ตรวจวัดระดับฮอร์โมนเพศด้วยการตรวจผลเลือด เพื่อหาความเสี่ยงปัญหาสุขภาพเพศ พร้อมนำมาวางแผนการดูแล และฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม
ใครที่กำลังมีปัญหาสุขภาพ สามารถเข้ามาปรึกษากับแพทย์ที่ S’RENE by SLC หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และจองคิวได้ที่
- สาขา ทองหล่อ – โทร 064 184 5237
- สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร 081 249 7055
- สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Menstruation Pain (Dysmenorrhoea). Better Health Channel.https://www.betterhealth.vic.gov.au/health/conditionsandtreatments/menstruation-pain-dysmenorrhoea#what-is-normal-period-pain
Dysmenorrhea Overview. Cleveland Clinic.https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/4148-dysmenorrhea
Dysmenorrhea: Painful Periods. ACOG (American College of Obstetricians and Gynecologists).https://www.acog.org/womens-health/faqs/dysmenorrhea-painful-periods
Menstrual Cramps: Symptoms and Causes. Mayo Clinic.https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/menstrual-cramps/symptoms-causes/syc-20374938
Dysmenorrhea. National Center for Biotechnology Information (NCBI).https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK560834/
Period Pain (Dysmenorrhoea). NHS Inform.https://www.nhsinform.scot/healthy-living/womens-health/girls-and-young-women-puberty-to-around-25/periods-and-menstrual-health/period-pain-dysmenorrhoea/
สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่