เรื่องน่ารู้

Blogs

ปวดท้องประจำเดือน เรื่องธรรมชาติของผู้หญิง ที่ไม่ควรมองข้าม!

อาการ ปวดท้องประจำเดือน (Dysmenorrhea) หรือ ปวดท้องเมนส์เป็นสิ่งที่ผู้หญิงหลายคนต้องเผชิญในทุก ๆ เดือน โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์ หรือช่วงวัยรุ่น โดยอาการนี้เกิดจากการบีบตัวของมดลูกที่มีการหลั่งสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก เพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกที่ไม่จำเป็นออกมาเป็นประจำเดือน จนทำให้มีอาการปวดท้องนั่นเอง

แม้จะฟังดูเหมือนว่า ปวดท้องเมน เป็นเรื่องธรรมชาติ บางคนอาจจะเป็นแค่ความไม่สบายเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สำหรับหลายคนก็จะมีอาการปวดท้องรุนแรงถึงขั้นกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น ปวดจนลุกไม่ขึ้น มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือแม้กระทั่งหมดสติได้ มาดูกันว่าทำไมเราถึงปวดท้องประจำเดือน แล้วจะมีวิธีจัดการดูแลตัวเองและเตรียมพร้อมรับมือกับอาการปวดนี้อย่างไรบ้าง?

อาการ ปวดท้องประจําเดือน มีลักษณะอย่างไร?

อาการปวดท้องประจำเดือน หรือ ปวดท้องเมนส์ มีลักษณะเฉพาะที่สามารถสังเกตได้ชัดเจน มักเกิดขึ้นในช่วงที่มดลูกบีบตัวเพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกออกมา ทำให้เกิดความรู้สึกปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย และอาจมีอาการร่วมต่าง ๆ โดยอาการเหล่านี้สามารถเกิดได้ตั้งแต่ 1-2 วันก่อนหรือระหว่างที่มีรอบเดือน และมักลดลงเมื่อผ่านไป 2-3 วัน

1. ปวดหน่วงในบริเวณท้องน้อย

  • มักรู้สึกเหมือนมีแรงบีบหรือดึงในบริเวณท้องน้อย
  • อาการหน่วงอาจกระจายไปที่หลังส่วนล่างหรือสะโพก

2. ปวดแบบบีบตัวเป็นจังหวะ

  • เกิดจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูก เพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกออก
  • อาการปวดมักจะมาเป็นช่วง ๆ และหายไปก่อนกลับมาใหม่

3. ปวดรุนแรง

  • สำหรับบางคน อาการปวดอาจรุนแรงจนทำให้ไม่สามารถทำกิจกรรมปกติได้
  • มักมีผลต่อสมาธิและการนอนหลับ

อาการร่วมที่พบได้บ่อย

นอกจากอาการปวดท้อง ยังมีอาการอื่นที่เกิดร่วมกันได้ เช่น

  • คลื่นไส้และอาเจียน: บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนจากการบีบตัวของมดลูก
  • ท้องเสียหรือท้องผูก: เกิดจากผลของโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ที่กระตุ้นลำไส้
  • ปวดหลัง: ปวดร้าวไปยังหลังส่วนล่าง หรือบางครั้งถึงขา
  • อ่อนเพลีย: ความปวดและการเสียเลือดอาจทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย
  • ปวดศีรษะ: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะในบางคน

ช่วงเวลาของอาการปวด

  • ก่อนมีประจำเดือน 1-2 วัน: มักจะมีอาการปวดท้องก่อนเมนส์มาล่วงหน้า อาจเริ่มก่อนที่ประจำเดือนจะมามากกว่า 1-2 วัน โดยเฉพาะในคนที่มีระดับโพรสตาแกลนดินสูง
  • ในช่วง 1-3 วันแรกของรอบเดือน: อาการปวดมักรุนแรงที่สุดในวันแรกของรอบเดือน และค่อย ๆ บรรเทาลง

ระดับความรุนแรงของอาการปวด

  • ปวดเล็กน้อย (Mild): สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่มีอาการรบกวนเล็กน้อย
  • ปวดปานกลาง (Moderate): รู้สึกไม่สบาย อาจต้องพักผ่อนหรือต้องใช้ยาแก้ปวด
  • ปวดรุนแรง (Severe): ปวดจนทำให้ไม่สามารถทำงานหรือกิจกรรมได้ มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือหมดสติร่วมด้วย

*หมายเหตุ: หากมีอาการปวด ที่รุนแรงและไม่สามารถจัดการได้ด้วยตนเอง ควรพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและรับการรักษาที่ถูกต้อง และทันท่วงที

S'RENE by SLC

สาเหตุการปวดท้องประจําเดือน เกิดขึ้นได้ยังไง?

สาเหตุของอาการปวดท้องประจำเดือนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ซึ่งมีปัจจัยและกลไกที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. ปวดประจำเดือนปฐมภูมิ (Primary Dysmenorrhea)

อาการปวดท้องประจำเดือนประเภทนี้ สามารถพบได้ทั่วไปในวัยรุ่นหรือผู้หญิงที่เริ่มมีประจำเดือนใหม่ ๆ อาการนี้มักไม่เกี่ยวข้องกับโรคหรือภาวะผิดปกติอื่น ๆ รวมถึงไม่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์

สาเหตุหลัก: เกิดจากการหลั่งสารโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ในปริมาณสูงระหว่างรอบเดือน ซึ่งส่งผลให้

  • กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัวมากเกินไป: เพื่อขับเยื่อบุโพรงมดลูกออกมา
  • การลดการไหลเวียนเลือดในมดลูก: ทำให้เกิดการปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย
  • การกระตุ้นปลายประสาทในมดลูก: สารโพรสตาแกลนดินมีฤทธิ์กระตุ้นปลายประสาท ส่งผลให้รู้สึกปวด

ลักษณะของอาการ

  • ปวดท้องน้อยในช่วงก่อนหรือระหว่าง 1-3 วันแรกของรอบเดือน
  • ปวดแบบบีบตัวหรือปวดหน่วงที่ท้องน้อย
  • อาจมีอาการร่วม เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย หรือปวดหลัง

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อปวดแบบปฐมภูมิ

  • วัยรุ่นหรือวัยรุ่นตอนต้นที่เริ่มมีประจำเดือน
  • ผู้ที่มีรอบเดือนปกติแต่มีอาการปวดทุกครั้ง

2. ปวดประจำเดือนทุติยภูมิ (Secondary Dysmenorrhea)

อาการปวดท้องประจำเดือนที่เกิดจากปัญหาสุขภาพหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ โดยเกิดจากความผิดปกติ มักพบในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ที่เคยมีประจำเดือนมาแล้วหลายปี

สาเหตุหลัก: เกิดจากโรคหรือความผิดปกติในระบบสืบพันธุ์ เช่น

  1. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis): เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญเติบโตนอกมดลูก เช่น บริเวณรังไข่หรืออุ้งเชิงกราน ทำให้เกิดการอักเสบและปวดท้องเมนส์รุนแรง
  2. เนื้องอกในมดลูก (Uterine Fibroids): ก้อนเนื้อที่เจริญเติบโตในมดลูกส่งผลให้มดลูกบีบตัวผิดปกติ
  3. การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease): เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบสืบพันธุ์ เช่น ปีกมดลูกหรือรังไข่
  4. ภาวะมดลูกคว่ำ (Retroverted Uterus): ตำแหน่งของมดลูกที่ผิดปกติอาจทำให้เกิดแรงกดและปวด
  5. ภาวะถุงน้ำในรังไข่ (Ovarian Cysts): ถุงน้ำที่เกิดในรังไข่อาจสร้างแรงดันและทำให้รู้สึกปวด

ลักษณะของอาการ

  • ปวดรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงรอบเดือน
  • อาการปวดมักเริ่มก่อนประจำเดือนและคงอยู่จนรอบเดือนหมด
  • ปวดที่บริเวณท้องน้อย หลัง หรือสะโพก
  • อาจมีประจำเดือนมามากผิดปกติหรือมีลิ่มเลือดร่วมด้วย

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อปวดแบบทุติยภูมิ

  • ผู้หญิงที่มีปัญหาโรคทางนรีเวช
  • ผู้ที่มีประวัติการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์
  • ผู้ที่เคยตั้งครรภ์หรือแท้งบุตรมาก่อน

ความเสี่ยงที่ควรรู้? หากมีอาการปวดท้องประจำเดือนรุนแรงและเรื้อรัง

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า หากคุณมีอาการปวดท้องประจำเดือนที่รุนแรงหรือเป็นเรื้อรัง อาจเป็นการปวดท้องประจำเดือนแบบทุติยภูมิ ซึ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ควรปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยหรือการรักษา เพราะนอกจากจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตแล้ว ยังอาจเป็นสัญญาณของโรคหรือภาวะผิดปกติที่ซ่อนอยู่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในระยะยาว ดังนี้

1. เสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก (Infertility)

  • โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis): ภาวะนี้ทำให้เนื้อเยื่อเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญอยู่นอกมดลูก เช่น รังไข่หรืออุ้งเชิงกราน ส่งผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง การสร้างพังผืด และอาจทำให้ท่อนำไข่อุดตัน
  • โรคติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease – PID): การติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษาอาจส่งผลให้เกิดพังผืดหรือทำลายโครงสร้างของระบบสืบพันธุ์
  • หากปวดประจำเดือนมากและสัมพันธ์กับภาวะเหล่านี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีบุตรยากในอนาคต

2. เสี่ยงต่อการเกิดซีสต์หรือเนื้องอกในระบบสืบพันธุ์

  • ถุงน้ำรังไข่ (Ovarian Cysts): การปวดท้องประจำเดือนที่สัมพันธ์กับซีสต์ในรังไข่อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพ เช่น PCOS (Polycystic Ovary Syndrome) หรือซีสต์ที่อาจแตกออกและทำให้เกิดอาการปวดเฉียบพลัน
  • เนื้องอกในมดลูก (Uterine Fibroids): ก้อนเนื้องอกที่ใหญ่ขึ้นสามารถกดทับอวัยวะข้างเคียงและสร้างแรงดัน ทำให้เกิดอาการปวดรุนแรงและเรื้อรัง

3. เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังอื่น ๆ

  • ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบเรื้อรัง (Chronic Pelvic Pain): เกิดจากการปวดท้องประจำเดือนที่ไม่ได้รับการรักษา ส่งผลให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบ ๆ อุ้งเชิงกรานไวต่อความเจ็บปวดมากขึ้น
  • โรคระบบทางเดินอาหาร: อาการปวดท้องอาจเกิดจากโรคร่วม เช่น โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome – IBS) ที่มีอาการคล้ายคลึงกับปวดประจำเดือน
  • โรคถุงน้ำในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Congestion Syndrome): เกิดจากหลอดเลือดดำในอุ้งเชิงกรานขยายตัวและอักเสบ

4. เสี่ยงต่อคุณภาพชีวิตที่ลดลง

  • ความเครียดและสุขภาพจิต: การปวดประจำเดือนรุนแรงเรื้อรังส่งผลให้เกิดความเครียด ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
  • การขาดงานหรือการเรียน: ผู้หญิงที่ปวดท้องประจำเดือนรุนแรงมักมีปัญหาในการทำงานหรือการเรียน เนื่องจากอาการปวดที่ทำให้ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้
  • ความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือคู่รัก: อาการปวดเรื้อรังอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ที่เจ็บปวด (Dyspareunia)

5. เสี่ยงต่อการวินิจฉัยโรคร้ายแรงช้า

  • อาการปวดประจำเดือนเรื้อรังอาจเป็นสัญญาณของโรคที่ร้ายแรง เช่น มะเร็งรังไข่ หรือ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก หากละเลยไม่ตรวจเช็กสุขภาพหรือรับการรักษา

สิ่งที่ควรทำเพื่อลดความเสี่ยง

  1. พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย: หากปวดท้องเมนส์รุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ เช่น การอัลตราซาวนด์ การตรวจภายใน หรือการส่องกล้อง รวมถึงตรวจเช็กระดับฮอร์โมน
  2. รักษาตามคำแนะนำแพทย์: เช่น การใช้ยา การบำบัดด้วยฮอร์โมน หรือการผ่าตัดในกรณีที่จำเป็น
  3. ปรับพฤติกรรมสุขภาพ: ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีโอเมก้า-3
  4. สังเกตอาการ: หากมีอาการผิดปกติ เช่น ประจำเดือนมามาก ปวดรุนแรงจนไม่สามารถทำงานได้ ควรพบแพทย์ทันที

S'RENE by SLC

อาการปวดท้องประจำเดือนแบบไหนที่ต้องเข้าพบแพทย์?

อาการปวดท้องประจำเดือน หรือ ปวดท้องเมนส์ เป็นเรื่องธรรมชาติที่ผู้หญิงหลายคนเผชิญ แต่หากอาการปวดนั้นรุนแรงผิดปกติหรือมีลักษณะบางอย่างที่น่ากังวล ควรพบแพทย์ทันที ถ้าหากมีอาการเหล่านี้

  1. ประจำเดือนมามากกว่าปกติ (Menorrhagia): มีเลือดประจำเดือนออกมากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 1-2 ชั่วโมง หรือมีลิ่มเลือดขนาดใหญ่ร่วมด้วย
  2. ปวดประจำเดือนพร้อมกับมีไข้: อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์ หรือปวดร่วมกับอาการอื่นที่ผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน รวมถึงท้องเสียหรือปัสสาวะลำบาก
  3. ปวดรุนแรงจนไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวันได้: มีอาการปวดท้องประจำเดือนมากและรุนแรง ทำให้ต้องหยุดเรียน หยุดงาน หรือไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้
  4. ปวดนานผิดปกติ: มีอาการปวดที่เริ่มก่อนประจำเดือนหลายวัน และยังคงปวดท้องเมนส์มากต่อเนื่องตลอดช่วงรอบเดือน
  5. ปวดท้องร่วมกับตกขาวผิดปกติ: หากมีตกขาวที่มีกลิ่นเหม็น สีเปลี่ยนแปลง หรือมีปริมาณมากผิดปกติร่วมกับอาการปวด อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์
  6. อาการปวดไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวด: หากการใช้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน ไม่สามารถบรรเทาอาการได้อาจบ่งบอกถึงปัญหาที่รุนแรงและซับซ้อน ควรปรึกษาแพทย์

วิธีแก้อาการปวดท้องประจำเดือน ปวดนี้แก้ได้ไม่ได้ยาก!

ปวดท้องเมนส์ ทําไงดี? ปวดท้องประจำเดือน วิธีแก้เบื้องต้นง่าย ๆ หากมีอาการปวดที่ไม่รุนแรง สามารถบรรเทาได้ด้วยตัวเอง หรือลองแก้ตามวิธีเหล่านี้ได้เอง

1. ใช้ความร้อนบรรเทาอาการปวด

  • ประคบร้อน: ใช้ถุงน้ำร้อนหรือแผ่นประคบร้อนวางบนท้องน้อย จะช่วยลดการบีบตัวของมดลูกและเพิ่มการไหลเวียนเลือด
  • อาบน้ำอุ่น: การแช่น้ำอุ่นสามารถช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดอาการปวดได้

2. ออกกำลังกายเบา ๆ

  • การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและลดการหลั่งของโพรสตาแกลนดินที่เป็นสาเหตุของอาการปวด
  • ลองกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น โยคะ ท่า Cat-Cow หรือการเดินเบา ๆ ช่วยลดการบีบตัวของมดลูก และเพิ่มการไหลเวียนของเลือด

3. ปรับอาหารให้เหมาะสม

  • หลีกเลี่ยง: อาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลสูง หรือมีคาเฟอีน เพราะอาจทำให้อาการปวดแย่ลง
  • เน้นอาหารที่มีประโยชน์: ปวดท้องประจําเดือน กินอะไรดี ให้เน้นอาหารที่มีประโยชน์

๏  ผักใบเขียว เช่น ผักโขม ผักคะน้า
๏  อาหารที่มีโอเมก้า-3 เช่น ปลาแซลมอน
๏  ธัญพืช เช่น เมล็ดแฟลกซ์ หรือถั่วอัลมอนด์
๏  แมกนีเซียม เช่น กล้วย ช่วยลดการบีบตัวของมดลูก
๏  หลีกเลี่ยงของแปรรูป และมันเยอะ

4. ใช้ยาแก้ปวด

วิธีแก้ปวดท้องเมนที่ไม่รุนแรง สามารถบรรเทาได้ด้วยยาที่หาได้ทั่วไปตามร้านขายยา อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ยาควรทำอย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย

  • ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) – ลดการบีบตัวของมดลูก
  • เมเฟนามิก แอซิด (Mefenamic Acid) – บรรเทาอาการปวดเฉพาะช่วงประจำเดือน
  • พาราเซตามอล (Paracetamol) – ลดปวดระดับเบาถึงปานกลาง
  • นาพรอกเซน (Naproxen) – สำหรับปวดรุนแรงและนาน
  • ยาแก้ปวดเกร็ง (Antispasmodics) เช่น Buscopan – ลดอาการปวดจากมดลูกบีบตัว

*หมายเหตุ: ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเพื่อความปลอดภัย

5. ผ่อนคลายความเครียด

ความเครียดสามารถกระตุ้นให้อาการปวดรุนแรงขึ้นได้ ลองใช้วิธีผ่อนคลาย เช่น

  • การนั่งสมาธิ
  • ฟังเพลงที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
  • การหายใจลึก ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย

6. สมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการ

  • ขิง: ดื่มน้ำขิงอุ่น ๆ หรือชาสมุนไพรเพื่อลดอาการปวด
  • ชาเปปเปอร์มินต์: ช่วยลดการอักเสบและเพิ่มความรู้สึกสบาย

7. ควรตรวจสุขภาพทันทีหากมีอาการรุนแรงขึ้น

หากมีอาการปวดประจำเดือนไม่ตอบสนองต่อการดูแลตัวเอง และเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันหรือรุนแรงขึ้น ควรพิจารณาตรวจสุขภาพกับแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง โดยแพทย์อาจพิจารณาการตรวจวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุของอาการปวด ได้แก่

  1. การตรวจภายใน (Pelvic Exam): เพื่อค้นหาสัญญาณของการอักเสบ เนื้องอก หรือโรคทางนรีเวช
  2. การอัลตราซาวนด์ (Ultrasound): ตรวจสอบความผิดปกติ เช่น เนื้องอกในมดลูก ถุงน้ำในรังไข่ หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
  3. การส่องกล้องตรวจช่องท้อง (Laparoscopy): ใช้กล้องขนาดเล็กตรวจอวัยวะในอุ้งเชิงกรานเพื่อยืนยันโรค เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
  4. การตรวจเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมน: เพื่อตรวจหาภาวะติดเชื้อหรือปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน เพื่อวางแผนดูแลสุขภาพ
  5. การตรวจ MRI (Magnetic Resonance Imaging): ใช้ในกรณีที่ต้องการภาพรายละเอียดของอวัยวะในช่องท้อง

สรุปว่า อาการ ‘ปวดท้องประจําเดือน’ คืออาการปวดที่ไม่ควรทน และปล่อยปละละเลย!

อาการปวดท้องประจำเดือนอาจเป็นเรื่องธรรมชาติของผู้หญิงที่ดูเหมือนต้องทน แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรงหรือมีลักษณะผิดปกติก็ไม่ควรทน เช็กดูอาการของตนเอง ไม่ว่าจะมีอาการปวดเรื้อรัง ปวดท้องเมนส์จนนอนไม่ได้ ปวดจนใช้ชีวิตประจำวันลำบากควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง โดยเฉพาะขั้นตอนแรกสุดอาจจะเป็นการมาตรวจสุขภาพ เช็กระดับฮอร์โมน ส่วนใครที่มีอาการหนัก ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

สำหรับใครที่อยากตรวจวัดระดับฮอร์โมน และวางแผนดูแลสุขภาพ S’RENE by SLC ก็มีโปรแกรม His & Her Wellness Lab Check Up Program – FEMALE Level 3 (15,900.- 20 รายการตรวจ) ตรวจวัดระดับฮอร์โมนเพศด้วยการตรวจผลเลือด เพื่อหาความเสี่ยงปัญหาสุขภาพเพศ พร้อมนำมาวางแผนการดูแล และฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม

ใครที่กำลังมีปัญหาสุขภาพ สามารถเข้ามาปรึกษากับแพทย์ที่ S’RENE by SLC หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และจองคิวได้ที่

▪️ สาขา ทองหล่อ ชั้น 4 – โทร 064 184 5237
▪️ สาขา ชาน แจ้งวัฒนะ 14 ชั้น 2 – โทร 099 807 7261
▪️ สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร 081 249 7055
▪️ สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669

________________________________________________________________
แหล่งข้อมูลอ้างอิง

Menstruation Pain (Dysmenorrhoea). Better Health Channel.
https://www.betterhealth.vic.gov.au/health/conditionsandtreatments/menstruation-pain-dysmenorrhoea#what-is-normal-period-pain

Dysmenorrhea Overview. Cleveland Clinic.
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/4148-dysmenorrhea

Dysmenorrhea: Painful Periods. ACOG (American College of Obstetricians and Gynecologists).
https://www.acog.org/womens-health/faqs/dysmenorrhea-painful-periods

Menstrual Cramps: Symptoms and Causes. Mayo Clinic.
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/menstrual-cramps/symptoms-causes/syc-20374938

Dysmenorrhea. National Center for Biotechnology Information (NCBI).
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK560834/

Period Pain (Dysmenorrhoea). NHS Inform.
https://www.nhsinform.scot/healthy-living/womens-health/girls-and-young-women-puberty-to-around-25/periods-and-menstrual-health/period-pain-dysmenorrhoea/

สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่