ปัจจุบันนี้ เทรนด์ กลืนบอลลูนลดน้ำหนัก กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก แต่หลายคนก็อาจจะกำลังสับสนว่า บอลลูนคืออะไร แล้วมีกี่แบบกัน โดยการลดน้ำหนักด้วยบอลลูนในกระเพาะอาหาร เป็นหนึ่งในทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการ ลดน้ำหนักไม่ต้องผ่าตัด และสามารถช่วยปรับพฤติกรรมการกินได้ แต่ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีบอลลูน 2 รูปแบบหลัก ๆ นั่นก็คือ การใส่บอลลูนแบบดั้งเดิม (Endoscopic Gastric Balloon) และ การกลืนบอลลูน (Swallowable Gastric Balloon) ซึ่งมีความแตกต่างกันในหลายด้าน จึงทำให้หลายคนสงสัยว่าควรเลือกแบบไหนดี?
ในบทความนี้ S’RENE by SLC จะพาทุกคนไปทำความรู้จัก และเปรียบเทียบบอลลูนทั้งสองวิธีอย่างละเอียด พร้อมข้อดี ข้อเสีย และคำแนะนำ เพื่อประกอบการตัดสินใจ จะได้ควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัย และถูกวิธีกัน
ใส่บอลลูน หรือ กลืนบอลลูนลดน้ำหนัก ? ทำความเข้าใจหลักการทำงานของบอลลูนลดน้ำหนักกันก่อน!
ก่อนจะเปรียบเทียบความแตกต่าง ต้องมาทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของ บอลลูนลดความอ้วน กันเสียก่อน โดยทั้งสองวิธีจะมีการใช้หลักการเดียวกันคือ การนำบอลลูนเข้าไปใส่ไว้ในกระเพาะอาหาร เพื่อช่วยลดพื้นที่ในกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทานอาหารได้น้อยลง และส่งผลให้น้ำหนักลดลงตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ บอลลูนเป็นแค่ตัวช่วย ในการลดน้ำหนัก และช่วยปรับพฤติกรรมการกินเท่านั้น ช่วยให้คุมน้ำหนักได้ทั้งในระยะสั้น ไปจนถึงระยะยาว ดังนั้นการใส่ หรือ กลืนบอลลูนลดน้ำหนัก ถ้าไม่ได้มีการปรับในเรื่องของพฤติกรรมการกิน การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาจทำให้น้ำหนักลดลงอย่างไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงผลลัพธ์ที่ได้ยังขึ้นอยู่กับเฉพาะบุคคล และการดูแลสุขภาพร่างกาย หากหลังจบโปรแกรม ถ้ายังมีพฤติกรรมที่ไม่ดีเหมือนเดิม ก็สามารถทำให้น้ำหนักกลับขึ้นมาเหมือนเดิมได้
1. การใส่บอลลูนแบบดั้งเดิม (Endoscopic Gastric Balloon)
- ขั้นตอน: วิธีนี้ต้องทำในโรงพยาบาลหรือคลินิก โดยแพทย์จะใช้กล้องส่องทางปาก (Endoscope) เพื่อนำทางบอลลูนที่ยังไม่ได้พองลมเข้าไปในกระเพาะอาหาร เมื่อบอลลูนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม แพทย์จะใส่น้ำเกลือ (Saline) เข้าไปในบอลลูนจนได้ขนาดที่ต้องการ แล้วจึงนำกล้องออก ผู้ป่วยมักจะต้องได้รับยานอนหลับ หรือ ดมยาสลบ ในระหว่างทำหัตถการ
- ระยะเวลาใส่: บอลลูนประเภทนี้มักจะใส่ไว้ในกระเพาะอาหารประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี (ขึ้นอยู่กับชนิดของบอลลูน) เมื่อครบกำหนด และต้องคอยกลับมาเติมน้ำอยู่บ่อย ๆ หลังจบโปรแกรมแพทย์จะต้องทำการส่องกล้องเพื่อนำบอลลูนออกอีกครั้ง
- ข้อดี:
- แพทย์สามารถมองเห็นตำแหน่งและควบคุมการวางบอลลูนได้อย่างแม่นยำผ่านกล้อง
- สามารถปรับขนาดบอลลูนได้ในระดับหนึ่งขณะใส่
- มีใช้มานานกว่า มีข้อมูลทางการแพทย์และผลการศึกษารองรับจำนวนมาก
- ข้อเสีย:
- ต้องใช้การส่องกล้องทั้งตอนใส่และตอนเอาออก
- จำเป็นต้องใช้ยานอนหลับ หรือ ดมยาสลบ ซึ่งมีความเสี่ยงแฝง
- อาจต้องใช้เวลาพักฟื้นหลังทำหัตถการนานกว่าเล็กน้อย
- ต้องคอยกลับมาเติมน้ำเกลืออยู่บ่อยครั้ง
- มีค่าใช้จ่ายในการส่องกล้องและดมยาสลบเพิ่มเติม
2. การ กลืนบอลลูนลดน้ำหนัก (Swallowable Gastric Balloon)
- ขั้นตอน: เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ โดยผู้ที่เข้ารับบริการเพียงแค่ กลืนบอลลูนลดน้ำหนัก ที่มาในแคปซูลขนาดเล็ก โดยมีบอลลูนพับอยู่ภายใน พร้อมกับสายขนาดเล็กที่ติดอยู่ เมื่อแคปซูลลงไปถึงกระเพาะอาหาร แพทย์จะทำการเอ็กซเรย์ (X-ray) เพื่อยืนยันตำแหน่ง จากนั้นจะเติมน้ำเกลือผ่านสายเล็ก ๆ เข้าไปในบอลลูนจนได้ขนาดที่เหมาะสม เมื่อเติมเสร็จ แพทย์จะค่อย ๆ ดึงสายเล็ก ๆ นั้นออกทางปาก ทั้งนี้แคปซูลจะละลายไปเองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องเอาออกมา ซึ่งในทุกขั้นตอนจะ ไม่ต้องส่องกล้อง ไม่ต้องดมยาสลบ
- ระยะเวลาใส่: บอลลูนชนิดนี้ถูกออกแบบมาให้มีลิ้นเปิด-ปิดพิเศษที่จะสลายตัวไปเองเมื่อครบกำหนดเวลา (โดยทั่วไปประมาณ 3 เดือน) บอลลูนจะค่อย ๆ แฟบลงและขับถ่ายออกจากร่างกายไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องมาพบแพทย์เพื่อนำออก
- ข้อดี:
- สะดวก รวดเร็ว: ขั้นตอนการใส่ใช้เวลาไม่นาน (ประมาณ 15 นาที)
- ไม่ต้องส่องกล้อง ไม่ต้องดมยาสลบ: ลดความเสี่ยงและความกังวลที่เกี่ยวข้องกับการดมยาและการส่องกล้อง
- ไม่ต้องมาเอาออก: บอลลูนสลายตัวและขับถ่ายออกเองตามธรรมชาติ ลดขั้นตอนและความยุ่งยาก
- พักฟื้นน้อย: ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น
- ข้อเสีย:
- อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดท้อง ในช่วง 2-3 วันแรกหลังใส่ มากกว่าแบบดั้งเดิมเล็กน้อย เนื่องจากร่างกายปรับตัวกับบอลลูน
- ตำแหน่งอาจไม่แม่นยำเท่าการใช้กล้องส่องโดยตรง (เพียงแค่ต้องยืนยันด้วย X-ray ก็จะได้ตำแหน่งที่แม่นยำ)
- เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า ข้อมูลระยะยาวอาจยังไม่มากเท่าแบบดั้งเดิม
- ระยะเวลาที่บอลลูนอยู่ในกระเพาะสั้นกว่า (ประมาณ 3 เดือน)
ตารางเปรียบเทียบ: กลืนบอลลูนลดน้ำหนัก vs ใส่บอลลูน
คุณสมบัติ | การใส่บอลลูนแบบดั้งเดิม (Endoscopic) | การ กลืนบอลลูนลดน้ำหนัก (Swallowable) |
วิธีใส่ | ส่องกล้องทางปาก | กลืนแคปซูล |
การดมยาสลบ | จำเป็น (ยานอนหลับ/ยาสลบ) | ไม่จำเป็น |
การใช้กล้อง | ใช้ทั้งตอนใส่และเอาออก | ไม่ใช้ (ยืนยันตำแหน่งด้วย X-ray) |
ระยะเวลาทำหัตถการ | ประมาณ 20-30 นาที | ประมาณ 15 นาที |
การนำบอลลูนออก | ต้องส่องกล้องเพื่อนำออก | บอลลูนสลายตัวและขับถ่ายออกเองตามธรรมชาติ |
ระยะเวลาอยู่ในกระเพาะ | ประมาณ 6-12 เดือน (ต้องคอยเติมน้ำ) | ประมาณ 3 เดือน |
ความสะดวก | น้อยกว่า | มากกว่า |
การพักฟื้น | อาจนานกว่าเล็กน้อย | สั้นกว่า |
ความแม่นยำในตำแหน่ง | สูง (มองเห็นโดยตรง) | สูง (ยืนยันด้วย X-ray) |
ค่าใช้จ่าย | อาจสูงกว่า (รวมค่าส่องกล้อง/ดมยา) | อาจแตกต่างกันไป (สอบถามสถานพยาบาล) |
กลืนบอลลูนลดน้ำหนัก หรือ ใส่บอลลูน แบบไหนดีกว่ากัน?
คำตอบคือ “ขึ้นอยู่กับความต้องการ สภาพร่างกาย และดุลยพินิจของแพทย์” ไม่มีวิธีไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน
เลือก “กลืนบอลลูนลดน้ำหนัก” ถ้า
- คุณกังวลเรื่องการส่องกล้องหรือการดมยาสลบ
- ต้องการความสะดวก รวดเร็ว ไม่อยากลางานนาน
- ไม่ต้องการกลับมาพบแพทย์เพื่อนำบอลลูนออก
- ยอมรับระยะเวลาการใส่ที่สั้นกว่า (ประมาณ 4 เดือน) และพร้อมปรับพฤติกรรมต่อเนื่อง
เลือก “ใส่บอลลูนแบบดั้งเดิม” ถ้า
- คุณไม่กังวลเรื่องการส่องกล้องหรือการดมยาสลบ
- ต้องการให้บอลลูนอยู่ในกระเพาะนานขึ้น (6-12 เดือน) เพื่อปรับพฤติกรรม
- แพทย์อาจแนะนำวิธีนี้หากมีข้อบ่งชี้บางอย่างทางกายภาพ
ใครเหมาะกับการลดน้ำหนักด้วยบอลลูน?
โดยทั่วไป ผู้ที่เหมาะกับการใส่บอลลูน (ทั้งสองแบบ) คือ
- ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 27 ขึ้นไป ที่มีโรคร่วม หรือ BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป
- ผู้ที่ลองลดน้ำหนักด้วยการคุมอาหารและออกกำลังกายแล้ว แต่ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
- ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่ไม่ต้องการหรือไม่เหมาะกับการผ่าตัดกระเพาะ
- ผู้ที่มีความมุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตเพื่อผลลัพธ์ระยะยาว
ข้อควรระวังและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ทั้งสองวิธีอาจมีผลข้างเคียงคล้ายกันในช่วงแรก เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องอืด ซึ่งมักจะดีขึ้นภายในไม่กี่วันหลังร่างกายปรับตัวได้ ควรปรึกษาแพทย์หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น ความเสี่ยงอื่น ๆ ที่พบได้น้อยมาก เช่น บอลลูนรั่ว แตก หรือ เคลื่อนไปอุดตันลำไส้
คำแนะนำสำคัญในการใส่ หรือ กลืนบอลลูนลดน้ำหนัก
ไม่ว่าคุณจะสนใจการลดน้ำหนักด้วยบอลลูนวิธีใด สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญในการลดน้ำหนัก เพื่อประเมินสภาพร่างกาย ความเหมาะสม ข้อห้าม และรับฟังคำแนะนำอย่างละเอียด แพทย์จะช่วยพิจารณาว่าวิธีใดเหมาะสมกับคุณที่สุด รวมถึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย แผนการดูแลหลังใส่บอลลูน และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้การลดน้ำหนักประสบความสำเร็จและยั่งยืน
สรุป ไม่ว่าจะ กลืนบอลลูนลดน้ำหนัก หรือใส่บอลลูน ก็อย่าลืมปรับพฤติกรรมและออกกำลังกาย
การ กลืนบอลลูนลดน้ำหนัก และการใส่บอลลูนแบบดั้งเดิม ต่างเป็นเครื่องมือช่วย ลดน้ำหนักไม่ต้องผ่าตัด ที่มีประสิทธิภาพ โดยมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน การกลืนบอลลูนโดดเด่นเรื่องความสะดวก ไม่ต้องดมยาสลบ และไม่ต้องมาเอาออก ในขณะที่การใส่บอลลูนแบบดั้งเดิมอยู่ได้นานกว่า แต่ก็ต้องแลกมากับการเจ็บตัวและค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า จึงทำให้การตัดสินใจเลือก ควรพิจารณาจากความต้องการส่วนบุคคล ความสะดวก ความกังวล และคำแนะนำจากแพทย์ รวมถึงอย่าลืมปรับพฤติกรรมการกิน และออกกำลังกาย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การลดน้ำหนักที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดสำหรับคุณ
S’RENE by SLC พร้อมให้คำแนะนำและดูแลคุณในทุกขั้นตอนของการจัดการน้ำหนัก รวมถึง โปรแกรมกลืนบอลลูน โดยแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ป้องกัน เพื่อตอบสนองทุกความต้องการเริ่มต้นการจัดการน้ำหนักและดูแลสุขภาพอย่างถูกต้อง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือจองคิวได้ทุกสาขา
▪️ สาขา ทองหล่อ ชั้น 4 – โทร 064 184 5237
▪️ สาขา ชาน แจ้งวัฒนะ 14 ชั้น 2 – โทร 099 807 7261
▪️ สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร 081 249 7055
▪️ สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669
▪️ สาขา สยาม – โทร 064 139 6390 และ 081-249-6392
สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่