เรื่องน่ารู้
Blogs

ไขมันสะสมในช่องท้อง มีแล้วเสี่ยงเกิดโรคอะไรบ้าง?!

ไขมันสะสมในช่องท้อง หรือ ที่เรียกกันว่า Visceral Fat เป็นหนึ่งในปัญหาที่หลายคนอาจไม่ทันสังเกต แม้ว่าภายนอกจะดูไม่ได้มีน้ำหนักเกินมากนัก แต่ภายในร่างกายอาจมีไขมันสะสมอยู่รอบอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ กระเพาะอาหาร และลำไส้ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว

ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจถึง ความเสี่ยงจาก ไขมันสะสมในช่องท้อง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมแนะนำแนวทางในการดูแลสุขภาพเพื่อลดไขมันสะสมลึกให้ดีขึ้น

ไขมันสะสมในช่องท้อง หรือ Visceral Fat คืออะไร?

ไขมันในช่องท้อง หรือ Visceral Fat เป็นไขมันที่สะสมลึกอยู่ภายในร่างกาย โดยจะเกาะรอบอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ กระเพาะอาหาร ลำไส้ และตับอ่อน แตกต่างจาก ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ที่สามารถมองเห็นและจับต้องได้ ไขมันในช่องท้องมักเป็นไขมันที่ซ่อนอยู่ภายในและส่งผลกระทบต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย

ซึ่งการสะสมไขมันในช่องท้องเนี่ย อันตรายกว่าที่คิด! เพราะไขมันชนิดนี้ไม่ได้อยู่แค่ใต้ผิวหนังเหมือนพุงนิ่ม ๆ ที่เราจับได้ แต่มัน สะสมอยู่ลึกภายในช่องท้อง ระหว่างอวัยวะสำคัญ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และภาวะไขมันพอกตับ นอกจากนี้ ยังเป็นตัวการที่ทำให้ ฮอร์โมนไม่สมดุล และการอักเสบในร่างกายเพิ่มขึ้น ดังนั้น การกำจัดไขมันในช่องท้องจึงไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นการดูแลสุขภาพในระยะยาว เพื่อป้องกันโรคร้ายแรงและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

วิธีวัดค่าไขมันในช่องท้อง

แม้ว่าไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) จะซ่อนอยู่ภายในร่างกายและมองไม่เห็น แต่เราสามารถประเมินความเสี่ยงได้หลายวิธี ตั้งแต่วิธีง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยตัวเองไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ให้ผลลัพธ์แม่นยำ เพื่อให้เราเข้าใจและวางแผนดูแลสุขภาพได้อย่างตรงจุด

  • การวัดเส้นรอบเอว (Waist Measurement)
      • ยืนตัวตรงและหาตำแหน่งกึ่งกลางระหว่างขอบกระดูกซี่โครงซี่สุดท้ายกับขอบบนของกระดูกสะโพก
      • ใช้สายวัดพันรอบเอวโดยให้ขนานกับพื้น และไม่รัดแน่นจนเกินไป
      • วัดค่าในขณะที่หายใจออกตามปกติ เพื่ออ่านค่าที่แม่นยำที่สุด โดยผู้ชายไม่ควรมีรอบเอวเกิน 90 ซม. (36 นิ้ว) และผู้หญิงไม่ควรเกิน 80 ซม. (32 นิ้ว)
  • การคำนวณอัตราส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพก (Waist-to-Hip Ratio: WHR)
      • วัดเส้นรอบเอวตามวิธีข้างต้นและจดค่าไว้
      • วัดขนาดรอบสะโพกในส่วนที่กว้างที่สุด
      • นำค่าเส้นรอบเอวมาหารด้วยค่าเส้นรอบสะโพก (WHR = รอบเอว / รอบสะโพก) ผู้ชายควรมีค่า WHR ไม่เกิน 0.90 และผู้หญิงไม่เกิน 0.85
  • วัดองค์ประกอบร่างกายด้วยเครื่อง DEXA Scan

เครื่อง Dexa Scan เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานรังสีเอ็กซ์ในระดับต่ำเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกายอย่างละเอียดและแม่นยำสูง สามารถแยกมวลกระดูก มวลไขมัน และมวลกล้ามเนื้อออกจากกัน ทำให้มองเห็นปริมาณไขมันในช่องท้องได้อย่างชัดเจนและประเมินความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไขมันสะสมในช่องท้อง เกิดขึ้นได้อย่างไร?

การที่มี ไขมันสะสมในช่องท้อง นั้นหลัก ๆ แล้วมาจากพฤติกรรมของเรา แต่ก็สามารถเกิดการสะสมขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น

  • พฤติกรรมการกิน – การบริโภคอาหารที่มีแคลอรีสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและน้ำตาล
  • การขาดการออกกำลังกาย – ทำให้พลังงานที่ได้รับสะสมเป็นไขมันแทนการเผาผลาญ
  • ความเครียด – ส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสะสมไขมัน
  • อายุที่เพิ่มขึ้น – ระบบเผาผลาญอาจลดลง ส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันได้ง่ายขึ้น

ไขมันในช่องท้องเยอะ อันตรายไหม เสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง

การมีไขมันในช่องท้องมาเกินเกณฑ์ที่ควรจะเป็น สามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้โดยตรง ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดโรคหรือภาวะต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ซึ่งเสี่ยงโรคดังนี้

1. เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด

ไขมันในช่องท้องเกี่ยวข้องโดยตรงกับระดับ คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด หากมีปริมาณมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงของ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และความดันโลหิตสูง

2. ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด และภาวะดื้อต่ออินซูลิน

ไขมันในช่องท้องอาจทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของ โรคเบาหวานประเภทที่ 2

3. มีผลต่อการทำงานของตับ

เมื่อมีไขมันสะสมในช่องท้องมากขึ้น ตับอาจได้รับผลกระทบและเกิดภาวะ ไขมันพอกตับ (Non-Alcoholic Fatty Liver Disease – NAFLD) ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตับอักเสบ และมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคตับแข็ง

4. ส่งผลต่อระบบเผาผลาญ และทำให้ดูแลน้ำหนักได้ยากขึ้น

ไขมันในช่องท้องเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนหลายชนิด เช่น เลปติน (Leptin) และอะดิโพเนคติน (Adiponectin) ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมความอยากอาหารและระบบเผาผลาญ หากไขมันสะสมมากขึ้น ระบบเผาผลาญอาจทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้การดูแลน้ำหนักได้ยากขึ้น

5. เพิ่มโอกาสเกิดโรคอ้วนลงพุง (Metabolic Syndrome)

โรคอ้วนลงพุง เป็นภาวะที่ประกอบไปด้วยปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง และระดับไขมันในเลือดผิดปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด

6. อาจส่งผลต่อสมดุลของฮอร์โมน และภาวะเครียดเรื้อรัง

ไขมันในช่องท้องสามารถกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเครียด หากมีระดับคอร์ติซอลสูงขึ้น อาจส่งผลต่ออารมณ์และการทำงานของร่างกายโดยรวม

การลดไขมันในช่องท้องกับการลดน้ำหนัก แตกต่างกันอย่างไร?

การลดน้ำหนัก คือการลดลงของน้ำหนักตัวโดยรวม ซึ่งอาจมาจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ปริมาณน้ำในร่างกาย หรือมวลไขมันทั้งหมด ในขณะที่ การลดไขมันในช่องท้อง เป็นการมุ่งเป้าไปที่การลดไขมันส่วนที่อันตรายที่สุดซึ่งเกาะอยู่ตามอวัยวะภายในโดยเฉพาะ การลดไขมันในช่องท้องจึงมีความสำคัญต่อสุขภาพโดยตรงมากกว่าการลดน้ำหนักโดยรวม เพราะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้อย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าน้ำหนักตัวบนตาชั่งอาจลดลงไม่มากก็ตาม

วิธีจัดการไขมันในช่องท้องด้วยตัวเองอย่างปลอดภัย

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างสม่ำเสมอ คือหัวใจสำคัญของการลดไขมันในช่องท้องที่ปลอดภัยและยั่งยืนที่สุด ซึ่งไม่เพียงช่วยลดไขมันส่วนเกิน แต่ยังส่งเสริมให้สุขภาพโดยรวมแข็งแรงขึ้นอีกด้วย

1. ปรับพฤติกรรมการกิน

เน้นการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี ควบคู่ไปกับโปรตีนคุณภาพดีจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่ว เพื่อช่วยให้อิ่มนานและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ควรลดอาหารแปรรูป น้ำตาลสูง และไขมันทรานส์ เช่น ของทอด เบเกอรี่ และเครื่องดื่มรสหวาน เพราะอาหารเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นการสะสมไขมันในช่องท้องโดยตรง

2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ควรออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เพื่อเผาผลาญไขมันโดยรวม และเสริมด้วยการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength Training) 2-3 วันต่อสัปดาห์ เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ร่างกายดึงไขมันในช่องท้องมาใช้เป็นพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

3. ลดความเครียด และนอนหลับให้เพียงพอ

ความเครียดเรื้อรังจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการสะสมไขมันบริเวณหน้าท้อง ควรหากิจกรรมผ่อนคลายที่เหมาะสมกับตัวเอง เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือทำงานอดิเรก ควบคู่ไปกับการนอนหลับที่มีคุณภาพอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูและปรับสมดุลฮอร์โมนให้เป็นปกติ

4. หลีกเลี่ยงบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การสูบบุหรี่ไม่เพียงแต่ทำลายสุขภาพปอด แต่ยังสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของไขมันในช่องท้องอีกด้วย ในขณะที่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้พลังงานสูงและกระตุ้นให้ร่างกายเก็บไขมันไว้ที่หน้าท้องได้ง่ายขึ้น การงดหรือลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์และการเลิกบุหรี่จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการลดไขมันสะสมส่วนนี้

5. พิจารณาทางเลือกในการดูแลเพิ่มเติม

สำหรับผู้ที่ต้องการทางเลือกเพิ่มเติม อาจมีเทคนิคที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ช่วยจัดการไขมันอย่าง Visceral Fat Care Program ที่มีการใช้เทคโนโลยีความถี่ 448 กิโลเฮิรตซ์ ในการฟื้นฟู และช่วยจัดการไขมันในช่องท้องได้ หรือเข้ารับการตรวจ Dexa Scan เพื่อวางแผนในการดูแลสุขภาพได้

วิธีลดไขมันในช่องท้องแบบเร่งด่วน

สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วหรือมีปัญหาน้ำหนักตัวที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ปัจจุบันที่ S’RENE by SLC มีโปรแกรมทางการแพทย์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยลดน้ำหนักและไขมันในช่องท้องอย่างปลอดภัยภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ

โปรแกรม Hunger Reset เปปไทด์ลดความอยากอาหาร

เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยม โดยใช้ตัวยาที่มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนในร่างกายที่ช่วยควบคุมความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้นและไม่หิวบ่อย โปรแกรม Hunger Reset เปปไทด์ลดความอยากอาหาร จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลและสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดในการลดน้ำหนักและไขมันส่วนเกิน

โปรแกรมกลืนบอลลูน 15 Minutes Balloon™

โปรแกรมกลืนบอลลูนนวัตกรรมการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยการกลืนแคปซูลบอลลูนขนาดเล็กที่จะพองตัวในกระเพาะอาหาร ช่วยให้พื้นที่ในกระเพาะลดลง ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและควบคุมปริมาณอาหารได้ดีขึ้น เป็นวิธีที่ช่วยปรับพฤติกรรมการกินได้อย่างเป็นธรรมชาติและปลอดภัย ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการ

สรุปว่า ควรจัดการไขมันในช่องท้องอย่างไรดี?

ไขมันในช่องท้องเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพในหลายด้าน และไม่ได้หมายความว่าจะมีแต่เฉพาะคนอ้วนเท่าไหร่ แต่คนผอมก็สามารถเกิด ไขมันสะสมในช่องท้อง ได้ไม่ต่างจากคนอ้วน ทำให้การดูแลและลดไขมันสะสมลึก ควรเริ่มจาก การปรับพฤติกรรมการกิน ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และจัดการความเครียด หากต้องการแนวทางเพิ่มเติม การเข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ หรือคลินิกดูแลสุขภาพ อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมกับร่างกายและเป้าหมายของแต่ละบุคคล

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาทางเลือกในการดูแลสุขภาพภายในเพิ่มเติม อย่าง Visceral Fat Care Program สามารถปรึกษากับแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน รวมถึงนักกายภาพบำบัด เพื่อประเมินแนวทางในการฟื้นฟูที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้ที่ S’RENE by SLC คลินิกสุขภาพสำหรับคนเมืองได้ทุกสาขา

▪️ สาขา ทองหล่อ ชั้น 4 – โทร 064 184 5237

▪️ สาขา ชาน แจ้งวัฒนะ 14 ชั้น 2 – โทร  099 807 7261

▪️ สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร  081 249 7055

▪️ สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669

▪️สาขา สยาม  – โทร 064 139 6390 และ 081 249 6392

สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่