การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนัก หรือ Bariatric Surgery เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำหนักตัวส่วนเกิน หรือโรคอ้วนอย่างได้ผล และยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ซึ่งในปัจจุบันนี้ การผ่าตัดกระเพาะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมานาน และมีอยู่ด้วยกันหลายเทคนิค ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีและวิธีการที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้เหมาะสมกับปัญหาและเป้าหมายของแต่ละบุคคล โดยมักใช้ร่วมกับเทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (Minimally Invasive) เช่น การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic) โดยจะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและการติดเชื้อ
ประเภทของการผ่าตัดกระเพาะอาหาร Bariatric Surgery การรักษาโรคอ้วนและปรับสมดุลร่างกาย ช่วยควบคุมน้ำหนัก
เป้าหมายของการผ่าตัดเหล่านี้คือการปรับเปลี่ยนกระเพาะอาหารและลำไส้ เพื่อช่วยลดน้ำหนักและรักษาโรคที่เกี่ยวข้อง โดยการผ่าตัดอาจทำให้กระเพาะอาหารมีขนาดเล็กลง หรือเปลี่ยนเส้นทางการดูดซึมอาหาร ส่งผลให้ความอยากอาหารลดลงและเพิ่มความรู้สึกอิ่ม เราจะพาคุณไปรู้จักประเภทของการผ่าตัดกระเพาะอาหารในปัจจุบันว่ามีกี่แบบ และแต่ละแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร
1. การผ่าตัดกระเพาะเทคนิค Sleeve Gastrectomy
การผ่าตัดกระเพาะแบบ Sleeve Gastrectomy หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า “สลีฟ (Sleeve)” เป็นการผ่าตัดที่ทำโดยตัดกระเพาะอาหารออกประมาณ 75-80% ทำให้กระเพาะที่เหลือมีลักษณะเป็นหลอดคล้ายกล้วย หรือแขนเสื้อ ซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นการผ่าตัดที่นิยมที่สุด และมีประสิทธิภาพในการควบคุมน้ำหนัก
ข้อดี
- ขั้นตอนง่าย ใช้เวลาผ่าตัดน้อย
- พักฟื้นไว แผลผ่าเล็ก เจ็บตัวน้อยกว่าแบบอื่น ๆ
- ช่วยให้คุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยควบคุมความอยากอาหารโดยลดการผลิตฮอร์โมน (Ghrelin) กระตุ้นความหิว
- กระเพาะอาหารที่เหลือมีขนาดเล็กลง ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง
เช็กข้อดีเพิ่มเติมได้ที่ > 9 ข้อดี ของการผ่าตัดกระเพาะอาหาร เทคนิค Sleeve Gastrectomy
ข้อเสีย
- ไม่สามารถย้อนกลับเป็นแบบเดิมได้
- อาจทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ง่าย
2. การผ่าตัดแบบ Roux-en-Y Gastric Bypass (RYGB)
การผ่าตัดนี้เป็นอีกหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมสูง โดยมีการตัดกระเพาะให้เหลือส่วนเล็ก ๆ และเปลี่ยนเส้นทางของลำไส้เล็กเพื่อช่วยลดการดูดซึมแคลอรี โดยจะแบ่งกระเพาะอาหารเป็นสองส่วน คือส่วนเล็กสำหรับเก็บอาหาร และส่วนใหญ่ที่ไม่ถูกใช้งาน
ข้อดี
- เชื่อมต่อกระเพาะอาหารส่วนบนกับลำไส้เล็กโดยตรง ลดการดูดซึมสารอาหาร
- ลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืน
- มีผลดีต่อการควบคุมเบาหวานและกรดไหลย้อน
- ช่วยลดน้ำหนักได้รวดเร็ว และส่งผลดีต่อการควบคุมโรคเบาหวานประเภทที่ 2
ข้อเสีย
- ขั้นตอนซับซ้อนกว่าการผ่าตัดแบบ Sleeve
- มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดวิตามินและแร่ธาตุ
3. การใส่แถบรัดกระเพาะ (Adjustable Gastric Band – AGB)
การผ่าตัดแบบนี้ใช้แถบรัดกระเพาะเพื่อจำกัดปริมาณอาหาร โดยไม่ต้องตัดหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกระเพาะอาหาร ซึ่งจะมีการใช้ห่วงรัดกระเพาะอาหารส่วนบนเพื่อลดขนาดพื้นที่รับประทานอาหาร เป็นวิธีที่สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องผ่าตัดเพิ่มเติม
ข้อดี
- ไม่ต้องตัดกระเพาะอาหาร
- สามารถปรับหรือถอดแถบออกได้
- ฟื้นตัวเร็ว
ข้อเสีย
- น้ำหนักลดช้ากว่าวิธีอื่น
- ต้องปรับแถบหลายครั้งในช่วงแรก
- อาจเกิดการเลื่อนหรือเสื่อมสภาพของแถบ
4. การผ่าตัดแบบ Biliopancreatic Diversion with Duodenal Switch (BPD/DS)
วิธีนี้เป็นการผ่าตัดที่รวมการทำ Sleeve Gastrectomy กับการเปลี่ยนเส้นทางของลำไส้เล็กเพื่อช่วยลดการดูดซึมอาหาร โดยมีการลดทั้งขนาดกระเพาะอาหารและเปลี่ยนเส้นทางลำไส้เล็ก เพื่อลดการดูดซึมสารอาหารอย่างมาก เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะอ้วนขั้นรุนแรง
ข้อดี
- มีผลต่อการลดน้ำหนักและการควบคุมเบาหวานที่ดีที่สุด
- ลดความอยากอาหาร
ข้อเสีย
- ความเสี่ยงต่อภาวะขาดวิตามินและแร่ธาตุสูง
- การผ่าตัดซับซ้อนและใช้เวลานาน
สรุปว่า การผ่าตัดกระเพาะ Bariatric Surgery ทำเทคนิคไหนถึงจะดีที่สุด?
การผ่าตัดกระเพาะอาหารเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคอ้วนและโรคที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเหมาะกับคนที่ไม่สามารถควบคุมน้ำหนัก หรืออยากได้ทางออกในการดูแลรูปร่าง โดยการเลือกวิธีที่เหมาะสมควรพิจารณาจากสุขภาพของผู้ป่วยและคำแนะนำจากแพทย์ที่มีประสบการณ์ นอกจากนี้การศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์จะช่วยให้ผู้ป่วย หรือผู้ที่สนใจ สามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัยที่สุด
แต่ถ้าอยากได้คำตอบจริง ๆ และคิดว่า การผ่าตัดกระเพาะอาหาร (Bariatric Surgery) ด้วยเทคนิค Sleeve Gastrectomy คือคำตอบ และเป็นทางออกที่ดีที่สุด สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่ S’RENE by SLC ทุกสาขา
▪️ สาขา ทองหล่อ – โทร 064 184 5237
▪️ สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร 081 249 7055
▪️ สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669
สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่