เรื่องน่ารู้
Blogs

ขลิบธรรมดา VS ขลิบไร้เลือด ต่างกันอย่างไร แบบไหนเหมาะกับใครบ้าง

ขลิบธรรมดา VS ขลิบไร้เลือด

 

การตัดสินใจ “ขลิบ” ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้ชายหลายท่าน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านสุขอนามัย ความสวยงาม หรือการแก้ปัญหาทางการแพทย์ เช่น ภาวะหนังหุ้มปลายตีบ แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีทางการแพทย์ได้พัฒนาไปไกล ทำให้มีทางเลือกมากกว่าแค่การขลิบธรรมดา แต่ยังมีนวัตกรรมอย่างการขลิบไร้เลือดเข้ามาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ วันนี้ S’RENE by SLC ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูและสุขภาพองค์รวม จะมาเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ ว่าทั้งสองแบบต่างกันอย่างไร เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุด

การขลิบคืออะไร

การขลิบ (Circumcision) ในทางการแพทย์ คือ หัตถการศัลยกรรมเพื่อนำหนังหุ้มปลาย (Foreskin) ที่ปิดบริเวณส่วนปลายของอวัยวะเพศชายออกไป ซึ่งเป็นหัตถการที่มีมานานและทำกันทั่วโลกด้วยเหตุผลที่หลากหลาย ทั้งทางศาสนา วัฒนธรรม และเหตุผลทางการแพทย์

ในปัจจุบัน การขลิบไม่ใช่แค่เรื่องของความเชื่ออีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “การยกระดับสุขภาวะ” (Wellness) ที่ช่วยให้การดูแลความสะอาดง่ายขึ้น และลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพหลายประการในระยะยาว

ประโยชน์ของการขลิบที่ผู้ชายควรรู้

การขลิบมีประโยชน์มากกว่าแค่ความสวยงาม นี่คือข้อดีหลักๆ ที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคุณผู้ชาย

  • ด้านความสะอาด (ลดการหมักหมม) เมื่อไม่มีหนังหุ้มปลาย การทำความสะอาดอวัยวะเพศจะง่ายขึ้นอย่างมาก ลดการสะสมของ “ขี้เปียก” (Smegma) ซึ่งเป็นเซลล์ผิวที่ตายแล้วและไขมันที่ร่างกายขับออกมา หากหมักหมมจะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียและก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์
  • ด้านสุขภาพ (ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ) การดูแลความสะอาดที่ง่ายขึ้นส่งผลโดยตรงต่อการลดความเสี่ยงการติดเชื้อ งานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้นยืนยันว่า การขลิบช่วยลดความเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด (STIs) เช่น HPV, เริม และ HIV (แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ 100%) รวมถึงลดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTIs) ในช่วงวัยทารก และลดความเสี่ยงมะเร็งองคชาตในระยะยาว
  • ด้านการใช้งาน (แก้ปัญหาหนังหุ้มปลายตีบ) นี่คือเหตุผลทางการแพทย์ที่พบบ่อยที่สุด ภาวะหนังหุ้มปลายตีบ (Phimosis) คือภาวะที่หนังหุ้มปลายไม่สามารถรูดเปิดออกมาได้สุด ทำให้ทำความสะอาดยาก เกิดการอักเสบ หรือรู้สึกเจ็บปวดเวลามีเพศสัมพันธ์ การขลิบคือการรักษาที่ตรงจุดและถาวรสำหรับปัญหานี้

ภาวะแบบไหนที่ควรขลิบ (เช่น หนังหุ้มปลายตีบ)

แม้ว่าผู้ชายหลายคนจะเลือกขลิบเพื่อความสะอาดหรือความสวยงาม แต่ก็มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่ชัดเจนว่าคุณ “ควร” ขลิบ ได้แก่

  1. ภาวะหนังหุ้มปลายตีบ (Phimosis) ตามที่กล่าวไป คือภาวะที่รูเปิดของหนังหุ้มปลายแคบเกินไป ไม่สามารถรูดเปิดได้ตามปกติ
  2. ภาวะหนังหุ้มปลายรัดแน่น (Paraphimosis) ภาวะฉุกเฉินที่หนังหุ้มปลายรูดเปิดแล้ว “ติด” ไม่สามารถรูดกลับมาปิดได้ ทำให้เกิดการบวมและขาดเลือดไปเลี้ยงส่วนปลาย จำเป็นต้องพบแพทย์ทันที
  3. การอักเสบติดเชื้อซ้ำซ้อน (Recurrent Balanitis) การอักเสบที่บริเวณปลายอวัยวะเพศหรือหนังหุ้มปลายบ่อยๆ ซึ่งมักเกิดจากการทำความสะอาดยากและการหมักหมม

หากคุณมีอาการเหล่านี้ การขลิบไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่เป็น “การรักษา” ที่จำเป็น

การขลิบแบบธรรมดา (Traditional Circumcision)

การขลิบธรรมดาหรือที่เรียกว่า “Surgical Excision” คือ วิธีมาตรฐานดั้งเดิมที่ใช้กันมาอย่างยาวนานในวงการแพทย์ทั่วโลก เป็นวิธีที่ศัลยแพทย์จะใช้เครื่องมือผ่าตัด (เช่น มีดผ่าตัด หรือ กรรไกรทางการแพทย์) ในการตัดหนังหุ้มปลายส่วนเกินออกอย่างแม่นยำ

วิธีนี้อาศัยความชำนาญและประสบการณ์ของแพทย์เป็นอย่างสูงในการออกแบบและตัดเย็บ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและปลอดภัย

การขลิบธรรมดา เหมาะกับใคร

การขลิบธรรมดายังคงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับกลุ่มคนต่อไปนี้

  • ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาทางการแพทย์ เช่น หนังหุ้มปลายตีบมาก หรือมีพังผืด
  • ผู้ที่ไม่กังวลเรื่องระยะเวลาพักฟื้นมากนัก
  • ผู้ที่ต้องการหัตถการในราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า (Cost-effective)
  • ผู้ที่มั่นใจในฝีมือของศัลยแพทย์ที่เลือก ว่ามีความประณีตสูง

ขั้นตอนการขลิบธรรมดา (ใช้มีดและไหมเย็บ)

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ขั้นตอนหลักๆ ของการ ขลิบธรรมดา มีดังนี้

  1. การเตรียมการ แพทย์จะทำความสะอาดบริเวณที่จะผ่าตัดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
  2. การให้ยาชา แพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่ บริเวณรอบโคนอวัยวะเพศ เพื่อให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างทำ
  3. การผ่าตัด ศัลยแพทย์จะใช้มีดผ่าตัด (Scalpel) ค่อยๆ กรีดและตัดหนังหุ้มปลายส่วนเกินออกตามแนวที่ออกแบบไว้
  4. การห้ามเลือด แพทย์จะใช้เครื่องจี้ไฟฟ้า (Cautery) หรือการเย็บเพื่อห้ามเลือดในจุดที่มีเลือดออก
  5. การเย็บแผล แพทย์จะเย็บขอบแผลด้วยไหมละลาย (หรือในบางกรณีอาจเป็นไหมตัด) อย่างประณีตเพื่อปิดแผล

ข้อดี-ข้อเสีย ของการขลิบธรรมดา

ข้อดี

  • ความแม่นยำ แพทย์สามารถออกแบบรูปทรงและเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ด้วยมือ
  • เป็นมาตรฐาน เป็นวิธีที่แพทย์ทั่วโลกคุ้นเคยและทำมานาน

ข้อเสีย

  • การเสียเลือด มีโอกาสเสียเลือดระหว่างผ่าตัดมากกว่าการขลิบไร้เลือด
  • ระยะเวลา ใช้เวลาผ่าตัดนานกว่า (ประมาณ 30-60 นาที)
  • ความเจ็บปวดและบวม อาจมีอาการบวมและเจ็บแผลหลังผ่าตัดมากกว่า
  • การพักฟื้น ใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าแผลจะสมานตัวเต็มที่
  • แผลเป็น ความสวยงามของแผลขึ้นอยู่กับเทคนิคและฝีมือการเย็บของแพทย์ หากเย็บไม่ประณีต อาจเกิดรอยแผลเป็นลักษณะคล้ายตะขาบได้

การขลิบไร้เลือด (Bloodless Circumcision) คืออะไร?

ขลิบไร้เลือด คือ “การขลิบที่เสียเลือดน้อยที่สุด” (Minimally Invasive) นี่คือเทคนิคที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาช่วยในการตัดและห้ามเลือดไปพร้อมๆ กัน ทำให้กระบวนการทั้งหมดรวดเร็ว แม่นยำ และลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง ซึ่งเป็นเทรนด์ที่สอดคล้องกับเวชศาสตร์ฟื้นฟู (Regenerative Medicine) ที่เน้นการฟื้นตัวที่รวดเร็ว (Fast Recovery) เทคนิคที่นิยมที่สุดในกลุ่มการขลิบไร้เลือด คือ การใช้เครื่องมืออัตโนมัติ (Stapler) และการใช้เลเซอร์

การขลิบไร้เลือด เหมาะกับใคร

การขลิบไร้เลือดถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของ S’RENE by SLC 

  • ผู้ที่กังวลเรื่องความเจ็บปวด หรือกลัวเลือด
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์แผลที่สวยงาม เรียบเนียน (Aesthetic)
  • ผู้ที่มีตารางงานรัดตัว ต้องการกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตปกติได้เร็ว (Fast Recovery)
  • ผู้ที่มองหาเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย ปลอดภัย และลดผลข้างเคียง

เทคนิคการขลิบไร้เลือด (ขลิบด้วยเครื่องมือ Stapler)

นี่คือเทคนิคที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบันสำหรับการขลิบไร้เลือด การขลิบด้วย Stapler (Stapler Circumcision) คือการใช้อุปกรณ์พิเศษที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ซึ่งทำงานแบบ “All-in-One”

ขั้นตอนคือ

  1. แพทย์จะวัดขนาดและเลือกอุปกรณ์ Stapler ที่เหมาะสม
  2. หลังจากฉีดยาชา อุปกรณ์จะถูกสวมครอบเข้าไป
  3. เมื่อแพทย์ทำการ “ยิง” (Activate) อุปกรณ์ในคลิกเดียว:
    • ใบมีดวงกลมด้านในจะ “ตัด” หนังหุ้มปลายออกอย่างแม่นยำ
    • ขณะเดียวกัน วงแหวน “แม็กซ์” (Surgical Staples) ขนาดเล็กจิ๋ว จะ “เย็บ” ปิดแผลและห้ามเลือดทันที
  4. กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียง 10-15 นาทีเท่านั้น หลังทำจะมีวงแหวนซิลิโคนบางๆ คอยป้องกันแผล

เทคนิคการขลิบด้วยเลเซอร์

อีกหนึ่งเทคนิคที่จัดอยู่ในกลุ่มขลิบไร้เลือดคือการใช้เลเซอร์ (Laser Circumcision)

วิธีนี้จะใช้พลังงานแสงเลเซอร์ (เช่น CO2 Laser) แทนมีดผ่าตัด ข้อดีของเลเซอร์คือ มีความแม่นยำสูง และในขณะที่ตัด พลังงานความร้อนจากเลเซอร์จะช่วย “จี้” (Cauterize) หลอดเลือดฝอยขนาดเล็กไปในตัว ทำให้เสียเลือดน้อยมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากการตัดด้วยเลเซอร์ แพทย์ยังจำเป็นต้องใช้ไหมเย็บแผลเหมือนกับการ ขลิบธรรมดา 

ข้อดี-ข้อเสีย ของการขลิบไร้เลือด

ข้อดี

  • รวดเร็ว ใช้เวลาผ่าตัดสั้นมาก (โดยเฉพาะ Stapler แค่ 10-15 นาที)
  • เสียเลือดน้อย ลดการสูญเสียเลือดระหว่างผ่าตัดได้มาก
  • เจ็บน้อย บวมน้อย เพราะเนื้อเยื่อบอบช้ำน้อยกว่าการ ขลิบธรรมดา
  • แผลสวยงาม (Stapler) แผลที่ได้จากการใช้ Stapler จะเรียบเนียนเป็นเส้นวงกลม สวยงามมาก เพราะแรงกดสม่ำเสมอกัน
  • ฟื้นตัวไว ลดระยะเวลาพักฟื้น กลับไปใช้ชีวิตประจำวัน (ที่ไม่หนัก) ได้เร็วขึ้น

ข้อเสีย

  • อาจไม่เหมาะกับเคสที่ซับซ้อนมาก เช่น มีพังผืดเยอะ หรือหนังหุ้มปลายที่ตีบแข็งมาก
  • ตัวแม็กซ์ (Stapler) ต้องรอให้ตัวแม็กซ์หลุดออกเอง ซึ่งอาจสร้างความรู้สึกแปลกๆ ในช่วงแรก

เปรียบเทียบ ขลิบธรรมดา vs ขลิบไร้เลือด

เปรียบเทียบ ขลิบธรรมดา vs ขลิบไร้เลือด (Stapler)

เพื่อให้คุณเห็นภาพและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น S’RENE by SLC ขอสรุปเปรียบเทียบหมัดต่อหมัด ระหว่างการ ขลิบธรรมดา (ใช้มีด) กับการ ขลิบ ไร้ เลือด (ใช้ Stapler) ที่เป็นที่นิยม

ด้านระยะเวลาผ่าตัดและความเจ็บปวด

  • ขลิบธรรมดา ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที หลังยาชาหมดฤทธิ์ อาจมีอาการเจ็บปวดและบวมที่แผลมากกว่า เนื่องจากมีการใช้มีดตัดและจี้ห้ามเลือดหลายจุด
  • ขลิบไร้เลือด ใช้เวลาเพียง 10-15 นาที ความเจ็บปวดหลังผ่าตัดมักจะน้อยกว่าอย่างรู้สึกได้ เพราะเป็นการตัดและเย็บในครั้งเดียว เนื้อเยื่อช้ำน้อยกว่า

ด้านการเสียเลือดและลักษณะแผล

  • ขลิบธรรมดา มีการเสียเลือดมากกว่า แต่ยังอยู่ในระดับที่ปลอดภัย (ควบคุมโดยแพทย์) ลักษณะแผลจะเป็นรอยเย็บด้วยไหม ความสวยงามขึ้นอยู่กับฝีมือแพทย์ล้วนๆ
  • ขลิบไร้เลือด เสียเลือดน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย ลักษณะแผลจะเรียบเนียน สม่ำเสมอเป็นวงกลม ได้มาตรฐานความงามที่คาดหวังได้ (Aesthetically predictable)

ด้านการพักฟื้น

  • ขลิบธรรมดา ต้องระมัดระวังแผลเปียกน้ำ อาจต้องกลับมาตัดไหม (หากใช้ไหมไม่ละลาย) การบวมยุบช้ากว่า
  • ขลิบไร้เลือด ฟื้นตัวไวกว่า แผลแห้งเร็ว ตัวแม็กซ์จะค่อยๆ ทยอยหลุดออกเองภายใน 2-3 สัปดาห์

การเตรียมตัวก่อนขลิบ และการดูแลแผลหลังขลิบ

ไม่ว่าคุณจะเลือกการขลิบธรรมดาหรือขลิบไร้เลือด ความสำเร็จของหัตถการขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวที่ดี และการดูแลตัวเองหลังทำอย่างเคร่งครัด นี่คือข้อแนะนำจากทีมแพทย์ S’RENE 

3 ข้อต้องเตรียมก่อนวันผ่าตัด

  1. แจ้งข้อมูลสุขภาพ: แจ้งแพทย์ให้ทราบเกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่รับประทานประจำ (โดยเฉพาะยาละลายลิ่มเลือด) และประวัติการแพ้ยา
  2. ทำความสะอาด: ในวันนัดผ่าตัด ให้อาบน้ำและทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศและจุดซ่อนเร้นให้สะอาด
  3. เตรียมกางเกง: สวมกางเกงชั้นในที่กระชับ (ไม่ใช่แบบ Boxer) เพื่อช่วยพยุงแผลหลังทำ และสวมกางเกงตัวนอกที่หลวมสบาย

5 ข้อปฏิบัติสำคัญในการดูแลแผลหลังขลิบ

  1. การดูแลแผล ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ห้ามแผลโดนน้ำในช่วง 1-3 วันแรก (ขึ้นอยู่กับเทคนิค) และทำความสะอาดแผลตามที่แพทย์สอน
  2. รักษาความสะอาด หลังปัสสาวะ ให้ใช้ทิชชู่ซับเบาๆ ให้แห้ง ป้องกันการอับชื้น
  3. การพยุงแผล สวมกางเกงในที่กระชับและพยุงแผลไว้ โดยจัดให้อวัยวะเพศชี้ขึ้นด้านบน (พาดกับหน้าท้อง) จะช่วยลดอาการบวมได้ดีที่สุด
  4. งดกิจกรรมหนัก: งดการออกกำลังกายหนัก การยกของหนัก และ “งดการมีเพศสัมพันธ์” อย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
  5. สังเกตอาการ หากมีอาการปวด บวม แดงร้อน หรือมีหนองไหลผิดปกติ ให้รีบกลับมาพบแพทย์ทันที

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการขลิบ

ขลิบเจ็บไหม

ระหว่างทำ “ไม่เจ็บ”  เพราะแพทย์จะใช้ยาชาเฉพาะที่ แต่หลังจากยาชาหมดฤทธิ์ (ประมาณ 2-4 ชั่วโมงหลังทำ) จะเริ่มรู้สึกปวดบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ โดยการขลิบไร้เลือด (Stapler) มักจะมีอาการเจ็บปวดหลังทำน้อยกว่าการ ขลิบธรรมดา 

ขลิบแล้วต้องพักฟื้นกี่วัน

หากเป็นงานออฟฟิศ นั่งโต๊ะ ส่วนใหญ่สามารถกลับไปทำงานได้ใน 2-3 วันหลังทำ แต่ถ้าเป็นงานที่ต้องเดินเยอะ หรือใช้แรง ควรสละเวลาพักอย่างน้อย 5-7 วัน ส่วนการพักฟื้นที่หมายถึง “การงดกิจกรรมหนักและเพศสัมพันธ์” ต้องใช้เวลา 4-6 สัปดาห์

ขลิบไร้เลือด ตัวแม็กซ์หลุดตอนไหน

สำหรับเทคนิค Stapler ตัวแม็กซ์ (Surgical staples) ถูกออกแบบมาให้หลุดออกเอง โดยปกติจะเริ่มทยอยหลุดในช่วงสัปดาห์ที่ 2 และหลุดหมดประมาณสัปดาห์ที่ 3-4 เมื่อเนื้อเยื่อสมานกันดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลับมาให้แพทย์เอาออก

ขลิบแล้วมีผลต่อสมรรถภาพทางเพศหรือไม่

นี่คือคำถามที่หลายคนกังวลที่สุด ขอตอบอย่างมั่นใจว่า “ไม่มีผล”  การขลิบเป็นการผ่าตัดเฉพาะส่วนหนังหุ้มปลาย ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับกลไกการแข็งตัว (Erections) หรือระบบท่อปัสสาวะ/ท่ออสุจิแต่อย่างใด ในทางกลับกัน บางคนที่เคยมีปัญหาเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์จากภาวะหนังหุ้มปลายตีบ จะรู้สึกมีสมรรถภาพที่ดีขึ้นด้วยซ้ำ

สรุปการขลิบธรรมดา vs ขลิบไร้เลือด

สรุปบทความ

การเลือกระหว่างขลิบธรรมดาและขลิบไร้เลือด ขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล ทั้งงบประมาณ ความกังวลเรื่องเจ็บ เวลาพักฟื้น และความคาดหวังเรื่องความสวยงาม การขลิบธรรมดาเป็นวิธีมาตรฐานที่คุ้มค่า ในขณะที่การขลิบไร้เลือด (Stapler) คือนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย ฟื้นตัวไว และแผลสวยงาม

สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกทำในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน ควบคุมด้วยความปลอดภัย และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ตลอดกระบวนการ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด ที่ S’RENE by SLC เรายกระดับการขลิบไปอีกขั้น ด้วย โปรแกรมขลิบปลายอวัยวะเพศชาย เทคนิค Kaizen Master™ ที่ออกแบบมาเพื่อลดการบาดเจ็บ แผลเล็ก ฟื้นตัวไว และมอบผลลัพธ์ที่ประณีตที่สุด ปรึกษาเราวันนี้เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า

▪️ สาขา ทองหล่อ ชั้น 4 – โทร 064 184 5237

▪️ สาขา ชาน แจ้งวัฒนะ 14 ชั้น 2 – โทร  099 807 7261

▪️ สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร  081 249 7055

▪️ สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669

▪️สาขา สยาม  – โทร 064 139 6390 และ 081 249 6392

สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่