เรื่องน่ารู้

Blogs

โรค รองช้ำ คืออะไร? ใส่ส้นสูงตลอดอาจเสี่ยง! รู้ทันก่อนปวดเท้า!

เคยตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกปวดส้นเท้าแบบจี๊ด ๆ เหมือนมีของแข็งมาทิ่มไหม? อีกทั้งมีอาการปวดเท้าหลังจากเดินเยอะ ๆ หรือใส่รองเท้าส้นสูงนาน ๆ? ถ้าใช่ คุณอาจกำลังเผชิญกับโรค “รองช้ำ” หนึ่งในอาการปวดเท้าที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะในคนที่ต้องเดินมาก ยืนนาน ชอบใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ หรือเล่นกิจกรรมหนักหน่วง รวมไปถึงมีน้ำหนักตัวที่เยอะ

โรครองช้ำ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในนักกีฬาเท่านั้น แต่คนทั่วไปก็สามารถเป็นได้! ถ้าหากปล่อยเอาไว้ไม่รักษา อาจทำให้ปวดเรื้อรังจนเดินลำบาก และกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับอาการโรค รองช้ำ สาเหตุ และวิธีป้องกันให้เท้าของคุณกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง

โรค รองช้ำ คืออะไร? มีอาการแบบไหน?

โรค รองช้ำ (Plantar Fasciitis) หรือ เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ คือ ภาวะอักเสบของพังผืดใต้ฝ่าเท้า (Plantar Fascia) ซึ่งเป็นแผ่นเอ็นที่เชื่อมระหว่างกระดูกส้นเท้ากับนิ้วเท้า ทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกและช่วยพยุงอุ้งเท้าให้มั่นคง เมื่อพังผืดนี้เกิดการอักเสบหรือฉีกขาดเล็ก ๆ จากแรงกดทับซ้ำ ๆ จะทำให้เกิดอาการปวด บวม และเจ็บส้นเท้า โดยเฉพาะหลังจากตื่นนอนหรือหลังจากเดินหรือยืนนาน ๆ

สัญญาณเตือนว่าคุณอาจเป็นโรครองช้ำ

  • ปวดส้นเท้าตอนเช้า เมื่อก้าวเท้าลงจากเตียง
  • ปวดฝ่าเท้าหรือส้นเท้าหลังจากเดิน ยืนนาน หรือออกกำลังกาย
  • อาการปวดดีขึ้นเมื่อเดินไปสักพัก แต่จะกลับมาเมื่อเดินหรือยืนเป็นเวลานาน
  • รู้สึกเหมือนมีของแข็งมากดที่ส้นเท้า

 

โรครองช้ำ มีอาการแบบไหน? เช็กให้ชัวร์ก่อนปวดเรื้อรัง!

โรครองช้ำ (Plantar Fasciitis) เป็นภาวะอักเสบของ พังผืดใต้ฝ่าเท้า (Plantar Fascia) ซึ่งเป็นแผ่นเอ็นที่เชื่อมระหว่างกระดูกส้นเท้ากับนิ้วเท้า ทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกและช่วยพยุงอุ้งเท้า หากมีการใช้งานฝ่าเท้ามากเกินไป หรือได้รับแรงกดซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการอักเสบจนส่งผลให้เกิดอาการปวดส้นเท้า

อาการของโรครองช้ำ เป็นแบบไหน?

1. ปวดจี๊ดที่ส้นเท้า โดยเฉพาะหลังตื่นนอน

  • อาการรองช้ำมักเกิดขึ้น หลังจากตื่นนอนตอนเช้า หรือหลังจากนั่งพักนาน ๆ แล้วลุกขึ้นเดิน
  • เมื่อก้าวเท้าแรก อาจรู้สึก ปวดจี๊ดเหมือนมีของแข็งทิ่มที่ส้นเท้า

2. ปวดส้นเท้าเมื่อยืนหรือเดินเป็นเวลานาน

  • อาการปวดจะรุนแรงขึ้น หากต้องยืน เดิน หรือออกกำลังกายเป็นเวลานาน
  • บางคนอาจเริ่มจากอาการปวดเบา ๆ และรู้สึกสบายขึ้นหลังจากเดินไปสักพัก แต่หากปล่อยไว้ อาการอาจรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

3. อาการปวดอาจดีขึ้นเมื่อนั่งพัก แต่จะปวดอีกเมื่อเริ่มเดิน

  • บางครั้งเมื่อได้นั่งพัก อาการปวดอาจลดลง แต่เมื่อกลับมาเดินใหม่ก็จะปวดซ้ำอีก

4. รู้สึกเหมือนมีของแข็งกดที่ฝ่าเท้า หรือมีความตึงที่อุ้งเท้า

  • หลายคนที่เป็นรองช้ำจะรู้สึกว่า ฝ่าเท้าตึงขึ้น โดยเฉพาะบริเวณอุ้งเท้า
  • อาการนี้เกิดจากพังผืดใต้ฝ่าเท้าถูกใช้งานหนักจนเกิดการอักเสบ

5. อาการปวดเป็น ๆ หาย ๆ แต่หากปล่อยไว้ อาจปวดเรื้อรัง

  • ในระยะแรก อาการปวดอาจไม่รุนแรงมาก แต่หากไม่ได้รับการดูแล อาการอักเสบจะสะสมจนทำให้ปวดเรื้อรัง และอาจมีอาการบวมร่วมด้วย

 

 

รองช้ำ VS ปวดส้นเท้าแบบอื่น ต่างกันยังไง?

หลายคนสับสนระหว่าง “รองช้ำ” กับอาการปวดส้นเท้าทั่วไป มาดูกันว่าแตกต่างกันยังไง

ใส่รองเท้าส้นสูงบ่อย ๆ เสี่ยงเป็นโรครองช้ำจริงหรือ?

สาว ๆ ที่ชอบใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ อาจมีโอกาส และไม่รู้ว่ากำลังเสี่ยงต่ออาการโรครองช้ำมากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะคนที่ต้องยืนหรือเดินนาน ๆ ไม่ได้นั่งอยู่กับที่

ทำไมรองเท้าส้นสูงถึงทำให้เป็นโรครองช้ำได้?

  1. น้ำหนักลงที่ส้นเท้าไม่สมดุล: รองเท้าส้นสูงทำให้เท้าอยู่ในตำแหน่งที่ผิดธรรมชาติ น้ำหนักกดลงที่ฝ่าเท้าหน้ามากกว่าปกติ แต่เมื่อถอดรองเท้า น้ำหนักจะกลับมากดที่ส้นเท้า ส่งผลให้พังผืดใต้ฝ่าเท้ารับแรงกระแทกมากขึ้น
  2. พังผืดใต้ฝ่าเท้ายืดตลอดเวลา: การใส่ส้นสูงทำให้พังผืดฝ่าเท้าตึง เมื่อเดินเท้าเปล่าหรือใส่รองเท้าธรรมดา พังผืดจะเกิดการหดตัวทันที ทำให้เกิดอาการปวดจี๊ดเหมือนมีของแข็งมากระแทก
  3. รองเท้าส้นสูงขาดการรองรับที่ดี: รองเท้าส้นสูงมักไม่มีแผ่นรองรับแรงกระแทกที่ดี ฝ่าเท้าและส้นเท้าจึงต้องรับน้ำหนักเต็ม ๆ ทำให้เกิดอาการอักเสบได้ง่าย

สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เป็นโรครองช้ำ

ไม่ใช่แค่รองเท้าส้นสูงเท่านั้นที่ทำให้เป็นโรครองช้ำ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ด้วย เช่น:

  1. เดินหรือยืนนาน ๆ เป็นประจำ: คนที่ต้องยืนหรือเดินเยอะ เช่น พนักงานร้านอาหาร แอร์โฮสเตส พยาบาล หรือครู มีโอกาสเป็นโรครองช้ำมากขึ้น
  2. ออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูง: เช่น การวิ่ง กระโดดเชือก หรือเต้นแอโรบิก ที่ทำให้ฝ่าเท้ารับแรงกระแทกมากขึ้น
  3. น้ำหนักตัวมากเกินไป (ภาวะอ้วน): น้ำหนักตัวที่มากทำให้ฝ่าเท้าต้องรับแรงกดเพิ่มขึ้น เสี่ยงต่ออาการอักเสบของพังผืดใต้ฝ่าเท้า
  4. อายุที่มากขึ้น: คนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็นโรครองช้ำมากขึ้นเพราะพังผืดเสื่อมสภาพตามวัย
  5. รูปเท้าที่ผิดปกติ: เช่น เท้าแบน (Flat Foot) หรือเท้าโก่ง (High Arch) ส่งผลให้การกระจายน้ำหนักที่ฝ่าเท้าผิดปกติ

 

วิธีป้องกันและบรรเทาอาการโรครองช้ำ

  1. เลือกรองเท้าที่ช่วยรองรับฝ่าเท้า: หลีกเลี่ยงรองเท้าส้นสูงที่ไม่มีการรองรับที่ดี ใช้รองเท้าที่มีแผ่นรองรับแรงกระแทก โดยเฉพาะรองเท้าสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องเท้า หากจำเป็นต้องใส่ส้นสูง เลือกส้นที่ไม่สูงเกิน 2 นิ้ว และมีพื้นรองรับอุ้งเท้า
  2. หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าบนพื้นแข็ง: การเดินบนพื้นแข็งโดยไม่มีรองเท้า ทำให้ฝ่าเท้ารับแรงกดมากขึ้น ควรใส่รองเท้าหรือรองเท้าแตะที่มีแผ่นรองรับ
  3. ลดน้ำหนัก ถ้าน้ำหนักเกินมาตรฐาน: น้ำหนักตัวที่มากเกินไปทำให้ฝ่าเท้าต้องรับแรงเพิ่มขึ้น การควบคุมน้ำหนักช่วยลดภาระที่ส้นเท้าและฝ่าเท้า
  4. บริหารและยืดกล้ามเนื้อฝ่าเท้า: ยืดเอ็นฝ่าเท้า (Plantar Fascia Stretching) โดยใช้มือจับนิ้วเท้าแล้วยืดขึ้น หรือ กลิ้งลูกเท้ากับลูกเทนนิส เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดอาการปวด
  5. ประคบเย็นเพื่อลดการอักเสบ: ใช้ถุงน้ำแข็งหรือขวดน้ำเย็นกลิ้งใต้ฝ่าเท้า วันละ 10-15 นาที เพื่อลดอาการอักเสบ
  6. พักเท้า และหลีกเลี่ยงการเดินหรือยืนนานเกินไป: หากต้องเดินหรือยืนเป็นเวลานาน ควรหาโอกาสนั่งพักบ้าง

บรรเทาและบำบัดอาการโรครองช้ำด้วยโปรแกรมเฉพาะทาง

หากคุณมีโรครองช้ำเรื้อรัง หรือปวดส้นเท้าอย่างต่อเนื่องจนรบกวนการใช้ชีวิต การบำบัดเฉพาะทางโดยผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด อาจเป็นตัวเลือกหรือทางออกที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคนิคเฉพาะ รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย พร้อมออกแบบการบำบัดให้เหมาะกับปัญหาของแต่ละบุคคล

Smat Focus Shockwave Therapy – คลื่นกระแทกบำบัดโรครองช้ำ

การรักษาด้วยคลื่นกระแทกรูปตัว U เป็นเทคนิคที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ลดการอักเสบและกระตุ้นให้เกิดการฟื้นฟูพังผืดใต้ฝ่าเท้าให้แข็งแรงขึ้น

  • ช่วยลดอาการปวด และลดอาการอักเสบเรื้อรัง
  • กระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ และลดอาการตึงของพังผืดฝ่าเท้า
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการโรค รองช้ำเรื้อรัง หรือรักษาด้วยวิธีพื้นฐานแล้วไม่ดีขึ้น

High Power Laser Therapy – บำบัดรองช้ำด้วยเลเซอร์พลังงานสูง

การรักษาด้วยเลเซอร์ เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ ลำแสงเลเซอร์พลังงานสูงส่งตรงไปยังบริเวณที่อักเสบ เพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์ บรรเทาอาการปวด และช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อ

  • กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารลดปวด (Endorphins) ช่วยบรรเทาอาการปวดโดยไม่ต้องพึ่งยา
  • ลดการอักเสบเฉียบพลันของเส้นเอ็นและพังผืดฝ่าเท้า
  • เร่งกระบวนการซ่อมแซมเส้นเอ็น และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณที่เสียหายฟื้นตัวเร็วขึ้น
  • ช่วยให้การรักษาอาการโรครองช้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้ร่วมกับกายภาพบำบัด

 

สรุปว่า รองช้ำ ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่จะมองข้ามได้!

โรค รองช้ำ หากปล่อยไว้นาน อาจทำให้มีอาการปวดเรื้อรังและกระทบกับการเดินในชีวิตประจำวันได้ นอกจากการปรับพฤติกรรม เช่น การเลือกใช้รองเท้าที่เหมาะสม และการบริหารฝ่าเท้าแล้ว การบำบัดด้วยเทคโนโลยีเฉพาะทางร่วมกับการทำกายภาพบำบัด สามารถช่วยฟื้นฟูพังผืดฝ่าเท้า และลดอาการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากใครที่มีอาการโรครองช้ำเรื้อรัง ควรเข้าพบนักกายภาพบำบัด หรือแพทย์ด้านเวชศาสตร์ป้องกันเพื่อฟื้นฟูหรือกายภาพบำบัด เพื่อวางแผนการรักษาที่ตรงจุด และป้องกันอาการปวดซ้ำในอนาคต

สำหรับใครที่มีโรครองช้ำ รู้สึกเจ็บ หรือปวด สามารถแวะเข้ามาหา หรือปรึกษานักกายภาพบำบัด และแพทย์ เพื่อเช็กดูอาการ และเลือกรับบริการบำบัดอาการโรครองช้ำ บรรเทาอาการปวดเท้าได้ที่ S’RENE by SLC คลินิกสุขภาพสำหรับคนเมืองได้ทุกสาขา

▪️ สาขา ทองหล่อ ชั้น 4 – โทร 064 184 5237

▪️ สาขา ชาน แจ้งวัฒนะ 14 ชั้น 2 – โทร  099 807 7261

▪️ สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร  081 249 7055

▪️ สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669

สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่