เรื่องน่ารู้

Blogs

โนโรไวรัส (Norovirus) โรคระบาดในไทยที่เด็ก ๆ ต้องระวังเป็นพิเศษ!

ช่วงนี้กังวลใจมาก เลื่อนฟีดอ่านข่าวทีไร เจอแต่ข่าว โนโรไวรัส (Norovirus) ทุกที ซึ่งตอนนี้กำลังระบาดอยู่ในประเทศไทย แล้วใครจะไปคิดล่ะว่า กลายเป็นประเด็นฮอตที่ทำให้ทุกคนต้องหันมาระวังตัวกันขนาดนี้

ข่าวคราวการระบาดของไวรัสตัวร้ายนี้ในไทยช่วงนี้ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายสุด ๆ จะกินขนม เล่นของเล่น หรือหยิบอะไรมือเข้าปากก็ชวนให้หวั่นใจไปหมด ถ้าใครยังไม่รู้ว่าโนโรไวรัสคืออะไร อันตรายขนาดไหน และจะป้องกันได้อย่างไร บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักให้ครบทุกแง่มุม บอกเลยว่าห้ามพลาด!

 

โนโรไวรัส (Norovirus) คืออะไร? มาทำความรู้จักโนโรไวรัสให้มากขึ้น!

โนโรไวรัส (Norovirus) คือหนึ่งในไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหารอย่างเฉียบพลัน (Acute Gastroenteritis) โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำ โรคนี้กำลังเป็นที่จับตามองในไทย เนื่องจากลักษณะการระบาดที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีคนรวมตัวกันมาก เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่ทำงาน ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ให้มากขึ้น เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงให้กับลูกหลาน

โนโรไวรัสสามารถแพร่กระจายผ่านอาหาร น้ำดื่ม น้ำแข็ง และการสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อ ไวรัสนี้มีความพิเศษตรงที่ทนทานต่อสภาวะแวดล้อม เช่น ความร้อน ความเย็น และน้ำยาฆ่าเชื้อบางชนิด ทำให้เชื้อแพร่กระจายได้ง่ายในสถานที่ที่มีคนอยู่ร่วมกันจำนวนมาก

 

อาการที่พบบ่อยในผู้ติดเชื้อโนโรไวรัส

โนโรไวรัสเป็นไวรัสที่โจมตีระบบทางเดินอาหารโดยตรง ทำให้เกิดอาการเฉียบพลันที่รบกวนชีวิตประจำวันได้อย่างมาก โดยอาการที่พบบ่อยมีดังนี้

1. คลื่นไส้และอาเจียน

  • เป็นอาการเด่นที่พบได้ในผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มักอาเจียนบ่อยครั้งจนเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ
  • สาเหตุเกิดจากการที่ไวรัสเข้าไปรบกวนระบบทางเดินอาหาร ทำให้ลำไส้เกิดการบีบรัดผิดปกติ

2. ท้องเสีย

  • ลักษณะของอุจจาระจะเหลวหรือเป็นน้ำ บางคนอาจมีความถี่ของการถ่ายมากกว่า 5-6 ครั้งต่อวัน
  • อาการนี้เกิดจากการที่ลำไส้ไม่สามารถดูดซึมน้ำและสารอาหารได้ตามปกติ เพราะการอักเสบที่เกิดจากไวรัส

3. ปวดท้องหรือปวดเกร็งในช่องท้อง

  • ความรู้สึกปวดมักเกิดบริเวณใต้สะดือหรือกลางท้อง และอาจมีลักษณะเหมือนลำไส้บิดตัว
  • เกิดจากการอักเสบและการบีบรัดของลำไส้ที่ไวรัสเข้าไปรบกวน

4. อ่อนเพลียและไม่มีแรง

  • เมื่อร่างกายสูญเสียของเหลวและเกลือแร่จากการอาเจียนและท้องเสีย จะส่งผลให้รู้สึกหมดแรงหรือวิงเวียน
  • โดยเฉพาะในเด็กเล็ก อาการนี้จะเห็นได้ชัดเจนเพราะเด็กอาจซึมและไม่ค่อยเคลื่อนไหว

5. มีไข้ต่ำ (Low-grade fever)

  • บางรายอาจมีไข้ต่ำๆ ร่วมด้วย ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายพยายามต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัส
  • แม้ว่าอาการไข้จะไม่สูง แต่หากมีอาการขาดน้ำร่วมด้วย อาจทำให้ดูรุนแรงขึ้น

6. ปวดกล้ามเนื้อหรือปวดเมื่อยตามตัว

  • อาการนี้มักเกิดร่วมกับไข้และอ่อนเพลีย เป็นผลจากการอักเสบที่เกิดจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน

อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นภายใน 12-48 ชั่วโมง หลังได้รับเชื้อ และจะคงอยู่ประมาณ 1-3 วัน แต่สำหรับเด็กเล็ก อาการอาจรุนแรงกว่านี้ เนื่องจากร่างกายขาดน้ำอย่างรวดเร็ว

ทำไมต้องใส่ใจเรื่องอาการเหล่านี้?

ถึงแม้อาการเหล่านี้จะดูเหมือน “โรคกระเพาะอาหารทั่วไป” แต่ในกรณีของโนโรไวรัส การสูญเสียน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็วอาจนำไปสู่ ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีน้ำหนักตัวน้อย หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง อาจเกิดอันตรายร้ายแรง เช่น ช็อกจากการขาดน้ำ หรือ ภาวะเกลือแร่ไม่สมดุล ได้

 

สัญญาณเตือนของภาวะขาดน้ำ

  • ปากแห้งหรือไม่มีน้ำลายในปาก
  • ร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
  • ปัสสาวะน้อยหรือไม่มีเลย
  • ตัวเย็น ซึม หรือหมดสติ

*หมายเหตุ: หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง!

 

ทำไมเด็กเล็กจึงต้องระวังเป็นพิเศษ?

ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กเล็กยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้ร่างกายมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสได้ง่าย นอกจากนี้ พฤติกรรมของเด็ก เช่น การหยิบของเข้าปาก หรือการใช้มือสัมผัสพื้นผิวต่างๆ แล้วจับใบหน้า ยิ่งเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ

สำหรับเด็กที่อยู่ในสถานที่รวมตัว เช่น โรงเรียนอนุบาล หรือศูนย์เลี้ยงเด็กเล็ก ความเสี่ยงจะสูงขึ้น เนื่องจากเชื้อสามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสหรือของเล่นที่ใช้ร่วมกันได้ง่าย

 

วิธีการป้องกันโนโรไวรัส

  1. ล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ: การล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดอย่างน้อย 20 วินาที เป็นวิธีป้องกันเชื้อไวรัสได้ดีที่สุด โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
  2. หลีกเลี่ยงอาหารดิบหรือไม่สุก: อาหารทะเลดิบ เช่น หอยนางรม หรืออาหารที่ไม่ได้ผ่านการปรุงสุก อาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อโนโรไวรัสได้
  3. ดื่มน้ำและน้ำแข็งสะอาด: ควรดื่มน้ำที่ผ่านการกรองหรือฆ่าเชื้อ และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำจากแหล่งน้ำที่ไม่มั่นใจ
  4. ทำความสะอาดพื้นผิว: ในกรณีที่มีการอาเจียนหรือถ่ายเหลว ควรทำความสะอาดพื้นที่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีส่วนผสมของคลอรีนเพื่อกำจัดเชื้อไวรัส
  5. หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดในช่วงที่มีการระบาด: หากทราบว่ามีการระบาดของโนโรไวรัสในโรงเรียนหรือชุมชน ควรหลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปยังสถานที่เหล่านั้น

 

สิ่งที่ควรทำหากสงสัยว่าเด็กติดโนโรไวรัส

  • พาเด็กไปพบแพทย์ทันที หากอาการรุนแรง เช่น อาเจียนหรือท้องเสียต่อเนื่องจนร่างกายขาดน้ำ
  • ให้ดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำและเกลือแร่
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการส่งเด็กไปโรงเรียนจนกว่าจะหายดี

 

โนโรไวรัส (Norovirus) เรื่องเล็กที่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่!

ถึงแม้โนโรไวรัสจะไม่ได้เป็นโรคที่อันตรายร้ายแรง แต่สำหรับเด็กเล็ก หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี อาจส่งผลให้ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้ ดังนั้น การป้องกันและเฝ้าระวังโรคจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เด็กๆ มีสุขภาพที่แข็งแรงและปลอดภัยจากโรคนี้

ถ้าอยากรู้วิธีปกป้องสุขภาพเด็ก ๆ และตัวคุณเองเพิ่มเติม เช้ามาปรึกษา S’RENE by SLC: Urban Wellness Clinic คลินิกสุขภาพสำหรับคนเมือง ที่พร้อมดูแลสุขภาพของทุกคนในครอบครัวได้อย่างครบองค์รวมทุกสาขา

▪️ สาขา ทองหล่อ – โทร 064 184 5237
▪️ สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร  081 249 7055
▪️ สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669

______________________________________________________

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

Norovirus: About. Centers for Disease Control and Prevention (CDC).
https://www.cdc.gov/norovirus/about/index.html

Norovirus Prevention. Centers for Disease Control and Prevention (CDC).
https://www.cdc.gov/norovirus/prevention/index.html

Norovirus Overview. Cleveland Clinic.
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/17703-norovirus

สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่