ทุกคนเคยรู้สึกไหม? ทำไมเจ็บหลัง เจ็บเอว บางทีเหมือนปวดขาตลอดเวลา พอลองยืดเส้นก็ดีขึ้นนิดหน่อย แต่ผ่านไปไม่กี่วันก็กลับมาเจ็บอีก! ปัญหาเหล่านี้อาจไม่ได้มาจากการนั่งนานอย่างเดียว แต่เกิดจากสิ่งที่เรียกว่า Lower Cross Syndrome (LCS) หรือ “กลุ่มอาการไขว้ล่าง” ซึ่งเกิดจากการเสียสมดุลของกล้ามเนื้อที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของหลัง เอว และสะโพก ก่อนที่จะมีอาการหนักไปมากกว่านี้ มาทำความเข้าใจปัญหานี้ให้ลึกขึ้น และดูวิธีแก้ปัญหาให้ชีวิตกลับมาชิลได้เหมือนเดิมกันเถอะ
Lower Cross Syndrome คืออะไร?
Lower Cross Syndrome (LCS) เป็นภาวะที่เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างกล้ามเนื้อที่ “ตึงเกินไป” กับกล้ามเนื้อที่ “อ่อนแรง” หรือทำงานน้อยลง ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาทางโครงสร้างของร่างกาย โดยเฉพาะช่วงล่างของลำตัว มันทำให้หลังแอ่นเกินไปหรือเอียงสะโพกผิดรูป จนเกิดปัญหาปวดหลังเรื้อรังได้ ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างและอาการทางกายภาพอื่น ๆ และอาจทำให้เกิดรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่การเจ็บปวดและข้อจำกัดทางการเคลื่อนไหวในระยะยาว
สาเหตุและกลไกการเกิดของ Lower Cross Syndrome ทำไมร่างกายถึงเสียสมดุล?
Lower Cross Syndrome (LCS) มักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและท่าทางที่ไม่เหมาะสม หรือเดินด้วยท่าที่ไม่ถูกต้อง หรือการออกกำลังกายที่ไม่สมดุล เกิดจากความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อในส่วนล่างของร่างกาย โดยมีหลายปัจจัยที่ทำให้กล้ามเนื้อบางส่วน “ตึงเกินไป” ขณะที่กล้ามเนื้ออีกส่วน “อ่อนแรง” หรือไม่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่า สาเหตุหลัก ที่ทำให้เกิด LCS มีอะไรบ้าง
1. นั่งนานเกินไป
การใช้เวลานั่งทำงานเป็นเวลานาน โดยเฉพาะคนทำงานออฟฟิศ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด LCS
- กล้ามเนื้อสะโพกด้านหน้า (Hip Flexors) ทำงานหนักเพราะถูกย่ออยู่ตลอดเวลา จึงเกิดความตึงสะสม
- ขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อสะโพกด้านหลัง (Gluteus Maximus) ที่ควรทำงานกลับถูกละเลยและอ่อนแรงลง
ตัวอย่าง:
- นั่งทำงานวันละ 8 ชั่วโมงโดยไม่ลุก หรือขยับไปไหน
- การขับรถเป็นเวลานานหลายชั่วโมง ติดกันต่อเนื่อง
2. การยืนและเดินผิดท่า
การยืนแบบแอ่นหลัง (Anterior pelvic tilt) หรือยืนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน ทำให้เกิดแรงกดทับผิดปกติบนหลังส่วนล่าง
- เมื่อสะโพกและหลังแอ่น กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง (Erector Spinae) จะต้องทำงานมากเกินไป
- กล้ามเนื้อหน้าท้อง ที่ควรพยุงลำตัวก็จะไม่ทำงานอย่างเต็มที่
3. การออกกำลังกายที่ไม่สมดุล
แม้การออกกำลังกายจะเป็นสิ่งดี แต่หากออกกำลังกายผิดรูปแบบหรือเน้นแค่บางกล้ามเนื้อ อาจส่งผลให้กล้ามเนื้อไม่สมดุล
- การเล่นเวทที่เน้นกล้ามเนื้อหลังและขา แต่ละเลยการเสริมความแข็งแรงของ แกนกลางลำตัว (Core)
- ขาดการยืดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อสะสมความตึง
ตัวอย่าง:
- เล่นเวทหนักแต่ไม่ยืดคลายกล้ามเนื้อ
- วิ่งบ่อยแต่ไม่ได้ฝึก core muscle เช่น Plank หรือ Side Plank
4. ความเครียดและความเหนื่อยล้า
ความเครียดสะสมมีผลต่อการเกร็งกล้ามเนื้อโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหลังและสะโพก เมื่อเครียด กล้ามเนื้อหลังอาจเกร็งตัวจนทำให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง
- คนที่เผชิญความเครียดบ่อยครั้ง มักพบปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณหลังและสะโพก
- ความเหนื่อยล้าทำให้ขาดแรงจูงใจในการดูแลร่างกาย เช่น ไม่ออกกำลังกายหรือไม่ยืดกล้ามเนื้อ
5. การบาดเจ็บหรือโรคทางกาย
การบาดเจ็บที่สะโพกหรือหลังส่งผลให้กล้ามเนื้อบางส่วนต้องทำงานชดเชย จนทำให้กล้ามเนื้อบางกลุ่มตึงเกินไป และกล้ามเนื้อบางส่วนอ่อนแรงลง
- การบาดเจ็บที่หลังส่วนล่างหรือสะโพก ทำให้ต้องชดเชยด้วยท่าทางที่ผิดปกติ
- โรคข้อเสื่อม หรือหมอนรองกระดูกเคลื่อนก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ LCS ได้
6. อายุที่มากขึ้น
เมื่ออายุมากขึ้น ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อลดลง การทำงานของกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้กล้ามเนื้อแกนกลางและสะโพกอ่อนแรง ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งให้เกิด LCS ได้ง่ายขึ้น
- คนที่อายุมากขึ้นมักพบปัญหาเรื่องความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ลดลง
- การออกกำลังกายที่เหมาะสมจึงสำคัญมากสำหรับผู้สูงวัย เพื่อลดความเสี่ยงของอาการนี้
แก้ที่ต้นเหตุเพื่อชีวิตที่ไร้ปวดเมื่อย
ส่วนใหญ่แล้ว อาการของ Lower Cross Syndrome อาจเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การนั่งนาน การยืนผิดท่า หรือแม้กระทั่งการออกกำลังกายที่ไม่ถูกต้อง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นทางออกที่ดีในการป้องกันอาการนี้ ลองเริ่มจากการ ปรับท่านั่ง ยืน และเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง พร้อมกับการยืดคลายกล้ามเนื้อบ่อยๆ เพื่อลดความตึงเครียด ให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตแบบไร้ปวดเมื่อยและสนุกกับทุกการเคลื่อนไหว
สัญญาณเตือนว่าอาจมี LCS
- ปวดหลังส่วนล่าง: รู้สึกเจ็บที่เอวตลอดเวลา แม้จะไม่ได้ทำกิจกรรมหนัก
- สะโพกตึง: นั่งนานแล้วลุกขึ้นจะรู้สึกว่าสะโพกแข็งและตึง
- กล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแรง: ไม่สามารถเกร็งหน้าท้องได้นาน ทำให้หลังโค้ง
- ปวดขาหรือเจ็บเข่า: ความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อทำให้ส่งผลต่อข้อต่อขาและเข่า
- เดินหรือยืนไม่มั่นคง: ท่าทางดูเซื่องซึม หรือต้องปรับท่าเดินตลอด
กล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับ Lower Cross Syndrome
- กล้ามเนื้อที่ตึงเกินไป:
- กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง (Erector Spinae)
- กล้ามเนื้อสะโพกด้านหน้า (Hip Flexors)
- กล้ามเนื้อที่อ่อนแรง:
- กล้ามเนื้อหน้าท้องลึก (Transversus Abdominis)
- กล้ามเนื้อสะโพกด้านหลัง (Gluteus Maximus)
อาการของ Lower Cross Syndrome รู้ทันสัญญาณ เพื่อแก้ปัญหาทันเวลา
Lower Cross Syndrome (LCS) มีผลกระทบต่อท่าทางและการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในบริเวณหลังส่วนล่าง สะโพก และขา หากปล่อยไว้โดยไม่แก้ไข อาจทำให้อาการแย่ลงจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ลองมาดูอาการที่พบบ่อยกัน เพื่อที่ทุกคนจะได้สังเกตและแก้ไขได้ทันเวลา!
อาการทั่วไปที่พบใน Lower Cross Syndrome
1. ปวดหลังส่วนล่าง
- ปวดหรือรู้สึกหนักที่เอวและหลังส่วนล่าง
- มักจะปวดเวลานั่งนาน หรือลุกจากเก้าอี้
- อาการปวดอาจร้าวไปที่สะโพกหรือขา
2. สะโพกและต้นขาตึง
- รู้สึกตึงหรือแข็งในบริเวณสะโพกด้านหน้า
- ต้นขาส่วนบน (Quadriceps) อาจรู้สึกเกร็งเวลายืดเหยียด
- อาการนี้มักเกิดเมื่อยืนหรือนั่งในท่าเดิมเป็นเวลานาน
3. กล้ามเนื้อหน้าท้องอ่อนแรง
- รู้สึกว่าเกร็งหน้าท้องได้ยาก
- หน้าท้องไม่กระชับ ทำให้ลำตัวเอียงไปข้างหน้าเล็กน้อย
- อาจเกิดหลังแอ่นมากเกินไป (anterior pelvic tilt)
4. ปวดร้าวลงขา
- บางคนอาจรู้สึกเจ็บร้าวจากหลังลงไปถึงขาหรือเข่า
- รู้สึกชา หรืออ่อนแรงในขาบางส่วน
5. ท่ายืนและเดินผิดปกติ
- ท่ายืนมักจะหลังแอ่นเกินไป (Lumbar Lordosis)
- อาจรู้สึกยืนหรือเดินไม่มั่นคง และรู้สึกเหมือนเสียสมดุล
- การเดินอาจดูเหมือนยกสะโพกหรือเอียงตัวโดยไม่รู้ตัว
6. อาการเจ็บบริเวณสะโพกและเข่า
- ความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อทำให้ข้อสะโพกและเข่าทำงานผิดปกติ
- มักรู้สึกปวดหรือเจ็บบริเวณเข่าเวลาลงน้ำหนักหรือวิ่ง
อาการทางกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง
- หลังล่างเกร็งเกินไป: กล้ามเนื้อ Erector Spinae ทำงานหนักเกินไป ทำให้ปวดหลัง
- ก้นหย่อน (Glute Amnesia): กล้ามเนื้อสะโพกไม่ทำงาน ทำให้สะโพกและขาดูไม่กระชับ
- หน้าท้องไม่เกร็ง: กล้ามเนื้อหน้าท้องไม่ช่วยพยุงหลัง ทำให้เสียสมดุล
ผลกระทบของอาการ LCS ในชีวิตประจำวัน
- ความเมื่อยล้า: ร่างกายอ่อนล้าจากการเคลื่อนไหวที่ผิดท่า
- ประสิทธิภาพลดลง: การทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ยกของหนักหรือออกกำลังกาย ทำได้ไม่เต็มที่
- เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ: หากปล่อยให้ปัญหานี้เรื้อรัง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ เช่น อาการหมอนรองกระดูกเคลื่อน
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้ชำนาญการ?
หากทุกคนพบว่าอาการปวดหลัง สะโพก หรือขาไม่ดีขึ้นแม้จะพักผ่อนแล้ว หรือลองยืดเหยียดกล้ามเนื้อแต่ยังรู้สึกตึงอยู่ ควร ปรึกษานักกายภาพบำบัดหรือแพทย์ที่มีความชำนาญและประสบการณ์ เพื่อหาทางแก้ไขที่เหมาะสม และป้องกันไม่ให้ปัญหานี้กลายเป็นอาการเรื้อรัง
การวินิจฉัย Lower Cross Syndrome
- ซักประวัติอาการ: สอบถามพฤติกรรม เช่น นั่งนาน ปวดหลัง หรือปวดร้าวลงขา
- ตรวจท่าทาง: สังเกตการยืน เดิน และท่าแอ่นหลัง (Anterior Pelvic Tilt)
- ทดสอบกล้ามเนื้อ: วัดความแข็งแรงและยืดหยุ่น เช่น Plank และ Thomas Test
- ประเมินการเคลื่อนไหว (ROM): ตรวจช่วงการเคลื่อนไหวของสะโพกและหลัง
- Functional Movement Screening (FMS): ประเมินการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน เช่น Squat และ Lunges
- Dexa Scan: ตรวจความหนาแน่นของกระดูกและองค์ประกอบของร่างกาย เพื่อตรวจหาความเสื่อมของกระดูกและกล้ามเนื้อที่อาจส่งผลต่อ LCS
- Imaging (ถ้าจำเป็น): ใช้ X-ray หรือ MRI หากสงสัยว่ามีปัญหากระดูกหรือหมอนรองกระดูก
- สรุปผลและวางแผนฟื้นฟู: แนะนำการปรับพฤติกรรม ยืดกล้ามเนื้อ และเสริมความแข็งแรง รวมไปถึงรักษาและฟื้นฟูด้วยโปรแกรมการบำบัดทางกายภาพ
*การตรวจ Dexa Scan ช่วยให้เห็นภาพรวมของกล้ามเนื้อและกระดูกได้ชัดเจนขึ้น ช่วยเสริมการวางแผนฟื้นฟูให้ตรงจุดยิ่งขึ้น!
วิธีการรักษา Lower Cross Syndrome ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ คืนความสมดุล
การรักษา Lower Cross Syndrome (LCS) จำเป็นต้องจัดการทั้งการยืดคลายกล้ามเนื้อที่ตึงและเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง พร้อมปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายกลับมาสมดุลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. ยืดกล้ามเนื้อที่ตึง
กล้ามเนื้อสะโพกและหลังส่วนล่างที่ตึงมักเป็นสาเหตุของ LCS การยืดคลายช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและลดอาการปวด
- Hip Flexor Stretch: ยืดสะโพกหน้า ลดความตึงสะสมจากการนั่งนาน
- Child’s Pose: ยืดหลังส่วนล่าง คลายความตึงและลดอาการปวด
- Quadriceps Stretch: ลดตึงบริเวณต้นขาหน้า
2. เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออ่อนแรง
กล้ามเนื้ออ่อนแรง เช่น กล้ามเนื้อสะโพกและหน้าท้อง ต้องได้รับการฝึกฝนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพยุงร่างกาย
- Plank: เสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core)
- Glute Bridge: เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสะโพก ลดอาการปวดหลัง
- Side Plank: ฝึกกล้ามเนื้อด้านข้าง ช่วยพยุงร่างกายและลดความไม่สมดุล
3. กายภาพบำบัด
นักกายภาพบำบัดจะช่วยวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อและปรับปรุงท่าทางในการเคลื่อนไหว
4. การรักษาด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสุดล้ำ
- Shockwave Therapy: กระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อด้วยคลื่นกระแทก ช่วยลดอาการปวดและเพิ่มความยืดหยุ่น
- High Power Laser Therapy: ใช้เลเซอร์พลังงานสูง ลดอาการอักเสบและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
- INDIBA Deep Care Therapy: กระตุ้นและฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ลงลึกถึงข้างใน ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ด้วยคลื่นความถี่เฉพาะ
- Magneto STYM™ Therapy: คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อและฟื้นฟูระบบประสาทอย่างมีประสิทธิภาพ
5. ปรับพฤติกรรมและท่าทางในชีวิตประจำวัน
- นั่งให้ถูกท่า: หลังตรง ข้อต่อสะโพกและเข่าทำมุม 90 องศา
- ลุกขึ้นขยับทุก 30 นาที: ลดการนั่งนานติดต่อกัน
- ฝึกการยืนหลังตรง: หู ไหล่ และสะโพกต้องอยู่ในแนวเดียวกัน
6. การประเมินด้วย Dexa Scan
Dexa Scan ช่วยประเมินมวลกล้ามเนื้อและกระดูก เพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงหลังการรักษา
- วิเคราะห์มวลกล้ามเนื้อ: ช่วยตรวจสอบว่ากล้ามเนื้อบริเวณแกนกลาง สะโพก และหลังมีความไม่สมดุลหรือไม่
- ติดตามการเปลี่ยนแปลง: วัดมวลกล้ามเนื้อก่อนและหลังการรักษา เพื่อดูพัฒนาการของผู้ป่วย
- ประเมินความเสี่ยงทางกระดูก: ตรวจหาภาวะกระดูกบางหรือเสื่อม ที่อาจเป็นสาเหตุเสริมของอาการปวดหลังและสะโพก
- ช่วยวางแผนการรักษา: ข้อมูลจาก Dexa Scan ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถออกแบบโปรแกรมการฟื้นฟูที่เน้นจุดอ่อนของร่างกายได้อย่างตรงจุด
7. ประคบด้วยความร้อนและความเย็น
- Cold Pack: ลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดเฉียบพลัน
- Hot Pack: กระตุ้นการไหลเวียนเลือดและคลายกล้ามเนื้อ
8. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- เน้นการออกกำลังกายที่เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางและสะโพก
- รวมการยืดเหยียดเข้ากับกิจวัตรประจำวัน เพื่อรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
9. การปรึกษาแพทย์
หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางรักษาเพิ่มเติม เช่น การใช้ยา การทำ MRI หรือการผ่าตัด (ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน)
รักษา Lower Cross Syndrome ที่ S’RENE by SLC ฟื้นฟูสมดุล พร้อมคืนสุขภาพดีให้กับคนเมือง
สำหรับที่ S’RENE by SLC เรามีบริการที่ตอบโจทย์ และออกแบบโดยเฉพาะสำหรับไลฟ์สไตล์ของคนเมือง พร้อมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงวิธีการรักษาที่ทันสมัย เน้นฟื้นฟูกล้ามเนื้อ และปรับสมดุลของร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดอาการปวดเรื้อรังจากการนั่งนานหรือใช้ชีวิตประจำวันในแบบเร่งรีบ ให้ทุกคนกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจ
โปรแกรมการรักษา LCS ที่ S’RENE by SLC มีอะไรบ้าง?
โปรแกรม Magneto STYM™ Therapy
- ใช้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า กระตุ้นกล้ามเนื้ออ่อนแรง เช่น กล้ามเนื้อแกนกลางและสะโพก
- ช่วยคลายความตึงของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างและสะโพก
- ลดอาการปวดเรื้อรังและเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย
- ใช้เวลาไม่นาน แค่นั่งไม่กี่นาที ไม่ต้องถอดเสื้อผ้า
- ราคา 2,500 บาท / ครั้ง
โปรแกรม Focus Shockwave Therapy
- ใช้พลังคลื่นกระแทกส่งตรงเข้าจุดที่มีปัญหาเพื่อลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ
- ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและเร่งการฟื้นฟู
- ราคา 4,000 บาท / ครั้ง (2,000 Shot)
โปรแกรม INDIBA Deep Care Therapy
- รักษาอาการปวดและฟื้นฟูกล้ามเนื้อในระดับลึกด้วยคลื่นวิทยุความถี่เฉพาะ 448 kHz
- ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดอาการปวด
- ราคา 2,500 บาท / ครั้ง
โปรแกรม High Power Laser Therapy
- รักษาด้วยเลเซอร์พลังงานสูง
- ช่วยลดการอักเสบ คลายความตึง
- กระตุ้นการฟื้นฟูของเนื้อเยื่ออย่างรวดเร็ว
- ราคา 1,500 บาท / ครั้ง
โปรแกรมตรวจ Dexa Scan
- ตรวจองค์ประกอบร่างกาย เช่น มวลกล้ามเนื้อและความหนาแน่นของกระดูก เพื่อประเมินผลและวางแผนการรักษา
- ช่วยติดตามความเปลี่ยนแปลงของมวลกล้ามเนื้อระหว่างการฟื้นฟู
- ราคา 3,500 บาท / ครั้ง
การให้คำแนะนำด้านไลฟ์สไตล์และพฤติกรรม
- ทีมผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำวิธีการปรับท่าทางการนั่ง การเดิน และการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
- แนะนำโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับคนเมือง ที่ต้องใช้เวลาคุ้มค่าและได้ผลจริง
- หากต้องการรับคำปรึกษาก่อน แต่ยังไม่รักษา ก็จะมีค่าบริการแบ่งเป็น ปรึกษากับนักกายภาพ ราคา 500 บาท หรือรับคำปรึกษาพร้อมประเมินจากแพทย์ ราคา 1,500 บาท
การรักษา Lower Cross Syndrome ต้องอาศัยการฟื้นฟูอย่างครบวงจร ทั้งการยืดเส้น การเสริมความแข็งแรง และการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น หากเริ่มดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะช่วยลดอาการเรื้อรัง และกลับมามีชีวิตที่คล่องตัวอย่างเต็มที่ ใครที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือจองคิวได้ที่
สาขา ทองหล่อ – โทร 064 184 5237
สาขา ชาน แจ้งวัฒนะ 14 ชั้น 2 – โทร 099 807 7261
สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร 083 996 6959
สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
Lower Crossed Syndrome. Physio-Pedia. https://www.physio-pedia.com/Lower_Crossed_Syndrome
What Is Lower Crossed Syndrome? WebMD. https://www.webmd.com/back-pain/what-is-lower-crossed-syndrome
Lower Crossed Syndrome: Causes, Symptoms, and Treatment. Medical News Today. https://www.medicalnewstoday.com/articles/lower-cross-syndrome
สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่