เรื่องน่ารู้
Blogs

เรื่องใกล้ตัว! เชื้อไวรัส HPV ติดจากอะไรได้บ้าง? รู้ให้ทัน ป้องกันได้

เรื่องเพศอาจเป็นเรื่องที่หลายคนเขินอายที่จะพูดถึง แต่รู้ไหมว่ามีภัยเงียบอย่าง เชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ที่วนเวียนอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน อยู่ในช่วงวัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยกลางคน เชื้อไวรัสตัวนี้ก็สามารถแวะมาทักทายได้แบบไม่ทันตั้งตัวเสมอ และที่สำคัญคือมันเป็นสาเหตุหลักของโรคร้ายอย่างมะเร็งปากมดลูก! แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะบทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเชื้อ HPV แบบเจาะลึกทุกซอกทุกมุม ตั้งแต่สาเหตุ อาการ ไปจนถึงวิธีป้องกันและการดูแลตัวเองแบบฉบับเข้าใจง่ายสไตล์คนยุคใหม่อย่างเรา ช่วยให้เพื่อนๆ พร้อมรับมือและป้องกันได้อย่างมั่นใจก่อนสายเกินแก้!

Table of Contents

เชื้อไวรัส HPV คืออะไร ตัวร้ายมีกี่เวอร์ชัน?

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อนว่าเจ้า เชื้อไวรัส HPV คืออะไร? เชื้อไวรัส HPV หรือ Human Papillomavirus คือกลุ่มเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงและร่างกายสามารถกำจัดออกไปได้เอง แต่จะมีบางสายพันธุ์ที่ถูกจัดเป็น ตัวร้าย ที่เราต้องจับตาเป็นพิเศษ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ

  1. กลุ่มสายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ (Low-Risk HPV) กลุ่มนี้เป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก ถึงแม้จะดูไม่สวยงามและสร้างความรำคาญใจ แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดมะเร็ง
  2. กลุ่มสายพันธุ์ความเสี่ยงสูง (High-Risk HPV) กลุ่มนี้แหละคือตัวการสำคัญ! โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก ถึง 70% นอกจากนี้ยังสามารถก่อให้เกิดมะเร็งในบริเวณอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก หรือมะเร็งในช่องปากและลำคอ ซึ่งพบได้ในทุกเพศเลยทีเดียว

การติดเชื้อส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการและร่างกายสามารถกำจัดเชื้อออกไปได้เองภายใน 1-2 ปี แต่หากติดเชื้อสายพันธุ์เสี่ยงสูงแบบเรื้อรัง ก็อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเซลล์และกลายเป็นมะเร็งในที่สุด การรู้จักประเภทของเชื้อจึงเป็นด่านแรกที่สำคัญในการดูแลตัวเอง

เชื้อไวรัส HPV ติดจากอะไรได้บ้าง? ไขทุกข้อสงสัยเรื่องการติดต่อ

คำถามยอดฮิตที่หลายคนอยากรู้ที่สุดคือ เชื้อไวรัส HPV ติดจากอะไรได้บ้าง? คำตอบหลักๆ เลยก็คือ การติดต่อเกิดขึ้นได้จาก การสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศโดยตรง (Skin-to-Skin Contact) แม้ส่วมใส่ถุงยางอนามัยก็เพียงแค่ช่วยลดความเสี่ยงได้แต่ไม่สามารถป้องกันได้ 100% เพราะมีผิวหนังในส่วนที่ถุงยางคลุมไม่ถึง ซึ่งหมายความว่า

  • การมีเพศสัมพันธ์ เป็นช่องทางการติดต่อที่พบบ่อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก (Oral Sex) ก็มีความเสี่ยงเท่ากันหมด
  • การสัมผัสโดยไม่สอดใส่ แค่การสัมผัสกันของอวัยวะเพศภายนอก หรือการใช้มือสัมผัสบริเวณที่มีเชื้อแล้วไปสัมผัสอวัยวะเพศของอีกฝ่ายก็สามารถทำให้ติดเชื้อได้แล้ว
  • การใช้ Sex Toy ร่วมกัน หากไม่ทำความสะอาดให้ดี ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการแพร่เชื้อได้เช่นกัน
  • การติดต่อจากแม่สู่ลูก แม้จะพบได้น้อยมาก แต่ทารกอาจติดเชื้อจากแม่ในระหว่างการคลอดผ่านช่องคลอดได้ด้วย

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศไหนหรือมีไลฟ์สไตล์แบบใด ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับ เชื้อไวรัส HPV ได้ทั้งนั้น การป้องกันและเข้ารับการตรวจหาเชื้อ HPV อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด!

ความเชื่อผิดๆ เรื่องเชื้อไวรัส HPV ที่ต้องรู้

เชื้อไวรัส HPV ไม่ได้ติดต่อผ่านการใช้ห้องน้ำสาธารณะ, สระว่ายน้ำ, หรือการใช้ภาชนะร่วมกัน ดังนั้นสบายใจได้ในระดับหนึ่ง แต่การป้องกันระหว่างมีเพศสัมพันธ์ยังคงเป็นเรื่องที่สำคัญและควรใส่ใจอยู่เสมอ

ใครบ้างที่เสี่ยง? เช็กลิสต์พฤติกรรมที่อาจเพิ่มโอกาสติดเชื้อ HPV

แม้ว่าทุกคนจะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV ได้ แต่ก็มีบางพฤติกรรมที่อาจทำให้เราเสี่ยงมากกว่าคนอื่น ลองมาเช็กลิสต์กันดูว่ามีข้อไหนตรงกับเราบ้าง?

  • การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย การเริ่มต้นมีเพศสัมพันธ์เร็วอาจเพิ่มโอกาสในการสัมผัสเชื้อ
  • การมีคู่นอนหลายคน ยิ่งมีจำนวนคู่นอนมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะเจอคนที่ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น
  • มีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น หนองใน, คลาไมเดีย หรือซิฟิลิส ซึ่งอาจบ่งบอกถึงพฤติกรรมเสี่ยง
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิ ร่างกายจะกำจัดเชื้อ HPV ได้ยากกว่าคนทั่วไป
  • การสูบบุหรี่ สารเคมีในบุหรี่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และเพิ่มความเสี่ยงที่เชื้อ HPV จะพัฒนากลายเป็นมะเร็งได้ง่ายขึ้น

รู้ไวรับมือง่าย! ตรวจหาเชื้อไวรัส HPV แบบไหนดี?

การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรู้ให้เร็วที่สุด! ปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยให้เราสามารถ ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Cervical screening) และตรวจหาเชื้อ HPV ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งแต่ละวิธีก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้าง?

  1. Pap Smear เป็นวิธีคลาสสิกดั้งเดิมที่ใช้กันมานานในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยคุณหมอจะเก็บเซลล์บริเวณปากมดลูกไปส่องกล้องเพื่อหาเซลล์ที่มีหน้าตาผิดปกติ วิธีนี้ช่วยคัดกรองความผิดปกติของเซลล์ได้ดี แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเกิดจากเชื้อ HPV หรือไม่
  2. ThinPrep Pap Test เป็นเวอร์ชันอัปเกรดของแปปสเมียร์ในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยเซลล์ที่เก็บมาจะถูกนำไปใส่ในน้ำยารักษาสภาพเซลล์ก่อน ซึ่งช่วยกำจัดสิ่งปนเปื้อนอย่างมูกเลือด ทำให้ผลตรวจมีความชัดเจนและแม่นยำกว่าวิธีดั้งเดิม
  3. การตรวจหาเชื้อ HPV DNA (HPV DNA Test) นี่คือวิธีตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ที่เจาะลึกและทันสมัย! เพราะเป็นการตรวจหาดีเอ็นเอของเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูงโดยตรง ทำให้สามารถประเมินความเสี่ยงได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แม้เซลล์จะยังไม่แสดงความผิดปกติออกมาก็ตาม โดยเฉพาะการตรวจหาสายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ซึ่งเป็นตัวการหลักของมะเร็งปากมดลูก

แล้วตรวจแบบไหนดีที่สุดกันนะ?

ในปัจจุบัน การตรวจแบบ Co-testing หรือการตรวจ ThinPrep Pap Test ควบคู่ไปกับ HPV DNA Test ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงสุด เพราะทำให้เราเห็นภาพรวมทั้งความผิดปกติของเซลล์ (จาก ThinPrep Pap Test) และรู้ถึงต้นตอของปัญหา (จาก HPV DNA Test) ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการติดตามและรักษาได้อย่างเหมาะสมที่สุด การตรวจสุขภาพเป็นประจำคือการลงทุนเพื่ออนาคตที่แข็งแรง อย่าลืมใส่ใจดูแลตัวเองกันนะ!!

Tip ก่อนเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ให้ผลแม่นยำขึ้น

  • งดมีเพศสัมพันธ์ 24-48 ชม. ก่อนเข้ารับการตรวจ
  • ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด
  • ไม่ควรใช้ครีมหรือยาเหน็บในช่องคลอด
  • ตรวจในช่วงที่ไม่มีประจำเดือน

เมื่อตรวจเจอเชื้อไวรัส HPV ต้องทำอย่างไร? อย่าเพิ่งตกใจ!

ผลตรวจเป็นบวก คำนี้อาจทำให้ใจตกไปอยู่ตาตุ่มได้เลยจริงๆ แต่สิ่งแรกที่ต้องทำคือตั้งสติก่อน! เมื่อตรวจเจอเชื้อไวรัส HPV ต้องทำอย่างไร? จริงๆ แล้วไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะ เพราะกว่า 90% ของผู้ที่ติดเชื้อ ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันและกำจัดเชื้อไวรัสออกไปได้เองภายใน 1-2 ปี

สิ่งที่ควรทำเมื่อรู้ผลคือ

  • อันดับแรกเลยปรึกษาแพทย์ เพื่อวางแผนการตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด แพทย์อาจแนะนำให้ ตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ซ้ำทุกๆ ปี หรือทำการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap Smear) เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของเซลล์
  • วางแผนติดตามผล พร้อมเข้ารับการรักษา
    • ถ้ายังไม่มีรอยโรค สามารถติดตามผลตามนัด และควรตรวจซ้ำตามที่แพทย์แนะนำ
    • ถ้ามีหูด อาจใช้ยา จี้ไฟฟ้า หรือเลเซอร์ ตามความเหมาะสมที่แพทย์แนะนำ
    • ถ้ามีเซลล์ผิดปกติระดับเสี่ยง แพทย์อาจพิจารณาส่องกล้อง/ตัดชิ้นเนื้อและรักษาตามแนวทางต่อไป
  • ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และงดสูบบุหรี่ เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัส
  • มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย อันดับแรกเลยเพื่อนๆ ควรลดจำนวนคู่นอน และควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งจะช่วยลดความเสี่ยงในการรับเชื้อเพิ่มหรือแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนได้ แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% ก็ตาม

ผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติ แล้วยังไงต่อ? อย่าเพิ่งคิดไปไกล!

แค่ได้ยินว่าผลตรวจ Pap smear/HPV DNA Test ที่ขึ้นว่า ผิดปกติ ก็อาจทำให้หลายคนใจหายแวบ! แต่เดี๋ยวก่อนใจเย็นก่อนนะทุกคน อย่าเพิ่งนอยด์หรือคิดไปไกลว่าต้องเป็นมะเร็งแน่ๆ เพราะความจริงแล้ว ผลตรวจผิดปกติไม่ได้เท่ากับว่าเป็นมะเร็งเสมอไป เซลล์ที่ปากมดลูกของเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้จากหลายสาเหตุมากๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่จัดการได้

ทำไมผลตรวจปากมดลูกถึงผิดปกติ?

สาเหตุที่ทำให้ผลตรวจเซลล์ปากมดลูกผิดปกติ อาจมาจากตัวการเหล่านี้ก็เป็นได้

  • การอักเสบติดเชื้อทั่วไป บางครั้งอาจเกิดจากการติดเชื้อราหรือแบคทีเรียที่ไม่มีความรุนแรง ซึ่งเมื่อรักษาการติดเชื้อเหล่านี้หายแล้ว ผลตรวจก็จะกลับมาเป็นปกติได้
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจทำให้เซลล์เยื่อบุบางลง ซึ่งส่งผลต่อผลตรวจได้เช่นกัน
  • พบเซลล์ที่เริ่มเปลี่ยนแปลง (Pre-cancerous cells) นี่คือสเต็ปที่สำคัญที่สุด ผลตรวจอาจเจอเซลล์ที่มีหน้าตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย (เรียกว่า LSIL) หรือเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้น (HSIL) เซลล์เหล่านี้ ยังไม่ใช่เซลล์มะเร็ง แต่เป็นเหมือนสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่า ต้องรีบจัดการทันทีนะ! เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์พัฒนาต่อไปเป็นมะเร็งในอนาคตนั่นเอง

Step ถัดไปเมื่อผลตรวจปากมดลูกเจอเซลล์ผิดปกติ! ต้องทำอย่างไรต่อ?

เมื่อได้รับผลตรวจว่า พบเซลล์ผิดปกติ อย่าเพิ่งแพนิก! แบบนี้ยังไม่ได้แปลว่าเป็นมะเร็งเสมอไป ความผิดปกตินั้นมีหลายระดับ ซึ่งคุณหมอจะไม่ได้ฟันธงว่าเป็นมะเร็งในทันที แต่จะมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อความแม่นยำ โดยปกติแล้ว คุณหมอจะแนะนำขั้นตอนต่อไปนี้

  1. ตรวจซ้ำเพื่อยืนยัน คุณหมออาจนัดตรวจติดตามอาการในอีก 6-12 เดือน เพื่อดูว่าความผิดปกตินั้นหายไปเองหรือไม่
  2. การส่องกล้องขยายปากมดลูก (Colposcopy) เป็นการส่องกล้องคอลโปสโคปี (Colposcopy) โดยใช้กล้องกำลังขยายสูงเพื่อดูบริเวณปากมดลูกอย่างละเอียด ทำให้มองเห็นตำแหน่งของเซลล์ที่ผิดปกติได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อาจมีความรู้สึกเจ็บแปล็บๆ เล็กน้อยเท่านั้น ที่สำคัญใช้เวลาไม่นานเท่าที่คิดอย่างแน่นอน
  3. การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ (Biopsy) หากเจอตำแหน่งที่น่าสงสัย คุณหมออาจทำการตัดชิ้นเนื้อเล็กๆ เพื่อส่งไปตรวจในห้องปฏิบัติการ ซึ่งผลจากขั้นตอนนี้จะช่วยยืนยันได้ว่าเซลล์นั้นมีความผิดปกติหรือไม่

หากผลยืนยันว่ามีความจำเป็นต้องรับการรักษา การกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติตั้งแต่ระยะก่อนมะเร็งนั้นทำได้ไม่ยากเลย อาจจะเป็นรักษารอยโรคเฉพาะที่อย่างการตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า (LEEP) หรือวิธีอื่นๆ ซึ่งเป็นเพียงหัตถการเล็กๆ ที่ช่วยป้องกันไม่ให้โรคร้ายลุกลามได้นั่นเอง

หัวใจสำคัญที่สุดคือการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ เพราะยิ่งเราเจอความผิดปกติได้เร็วเท่าไหร่ การรักษาก็จะยิ่งง่ายและมีโอกาสหายขาดสูงมากเท่านั้นนะ ดังนั้น พี่สาวทุกคนอย่าได้กลัวการตรวจภายใน และอย่าตกใจกับผลที่ผิดปกติ แต่ให้มองว่ามันคือโอกาสที่เราจะได้ดูแลสุขภาพเชิงรุกอย่างดีที่สุดน้า

วัคซีน HPV เกราะป้องกันที่ส่งผลดีต่อสุขภาพชีวิตในระยะยาว

การฉีดวัคซีน HPV คือหัวใจสำคัญของการป้องกันอย่างแท้จริง เพราะเป็นการป้องกันที่ต้นเหตุ คือป้องกันไม่ให้เราติดเชื้อตั้งแต่แรก ยิ่งฉีดตั้งแต่อายุยังน้อยยิ่งดี! แนะนำให้ฉีดตั้งแต่ช่วงอายุ 9-26 ปี และ อายุ 27-45 ปี

  • ฉีดวัคซีน HPV ตอนไหนดีที่สุด? แนะนำให้ฉีดตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป และควรฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก เพื่อให้วัคซีนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
  • เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วฉีดวัคซีน HPV ได้ไหม? ยังฉีดได้และมีประโยชน์! เพราะเราอาจจะยังไม่เคยติดเชื้อสายพันธุ์ที่อยู่ในวัคซีนมาก่อน
  • ต้องฉีดเข็มกระตุ้นไหม? หากฉีดครบโดสตามกำหนด 2 หรือ 3 เข็ม (ตามช่วงวัย) ยังไม่มีคำแนะนำให้ต้องฉีดกระตุ้น เพราะภูมิคุ้มกันอยู่ได้ยาวนานแล้ว
  • ฉีดวัคซีน HPV แล้วยังต้องตรวจภายในไหม? ยังจำเป็นต้องตรวจสม่ำเสมอ เพราะวัคซีนไม่สามารถป้องกันเชื้อได้ครบทุกสายพันธุ์ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจึงยังเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย

สร้างเกราะป้องกัน ห่างไกลจากเชื้อไวรัส HPV

มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่เราสามารถป้องกันได้! นอกจากการฉีดวัคซีน HPV ชนิด 9 สายพันธุ์คือคำตอบ! เพราะเป็นเหมือนเกราะป้องกันด่านสำคัญที่สุดแล้ว ยิ่งฉีดเร็วยิ่งป้องกันได้ไว และเราสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการปรับไลฟ์สไตล์ง่ายๆ ดังนี้

  • มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้ป้องกันได้แบบ 100% เพราะเชื้ออาจอยู่บริเวณผิวหนังส่วนอื่น แต่ก็ยังช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้อย่างมาก
  • ลดพฤติกรรมเสี่ยง การจำกัดจำนวนคู่นอนช่วยลดโอกาสในการสัมผัสเชื้อได้โดยตรง
  • งดสูบบุหรี่ เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงและพร้อมต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้อย่างเต็มที่
  • ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ อย่าลืมว่าแม้จะฉีดวัคซีนแล้ว การตรวจภายในและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกตามคำแนะนำของแพทย์ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อความมั่นใจและปลอดภัยในระยะยาว

ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกให้พอดีและพอเหมาะ ไม่เกินความจำเป็น!

หลายคนเข้าใจว่าตรวจถี่ๆ ยิ่งมั่นใจ แต่ความจริงคือ การตรวจบ่อยเกินจำเป็น อาจพาไปสู่การตรวจซ้ำที่ไม่จำเป็นหรือหัตถการเกินเหตุได้ เป้าหมายคือ ตรวจให้ถูกวิธี ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ตามแนวทางสากลปัจจุบัน

ควรเริ่มตรวจเมื่อไหร่?

  • อายุตั้งแต่ 25-65 ปี ควรเริ่ม ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก แม้ไม่มีอาการ เพราะจะช่วยโฟกัสที่การค้นหาเชื้อไวรัสและความผิดปกติของเซลล์ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

แล้วเราตรวจแบบไหนดี ควรตรวจบ่อยแค่ไหนกันนะ?

  • ช่วงอายุ 21-29 ปี แนะนำ Pap/ThinPrep เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ทุก 3 ปี ยังไม่จำเป็นต้องทำ HPV test เป็นประจำ
  • ช่วงอายุ 25-65 ปี ควรให้ความสำคัญกับ ตรวจหาเชื้อไวรัส HPV แบบเดี่ยว (primary HPV) ทุก 5 ปี เป็นตัวเลือกพึงประสงค์ (ถ้ายังไม่พร้อม สามารถใช้ co-testing ทุก 5 ปี หรือ Pap ทุก 3 ปีได้)
  • ช่วงอายุ 30-65 ปี เลือกได้ 1 อย่าง
    • ตรวจหาเชื้อไวรัส HPV แบบเดี่ยว primary HR-HPV ทุก 5 ปี หรือ
    • ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก co-testing (Pap + HR-HPV) ทุก 5 ปี หรือ
    • ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก Pap smear/ThinPrep ทุก 3 ปี

ใครบ้างที่ควรตรวจบ่อยกว่านี้?

  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือใช้ยากดภูมิ)
  • เคยมีผลเซลล์ผิดปกติระดับสูง (เช่น CIN2+) หรือมีประวัติรักษารอยโรคมาก่อน
  • เคยได้รับผลตรวจผิดปกติซ้ำๆ ตามดุลยพินิจแพทย์ กลุ่มนี้แพทย์จะกำหนดช่วงติดตามผลเป็นรายบุคคล เช่น ต้องตรวจซ้ำทุกๆ 6-12 เดือน เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงได้ในระยะยาว

ใครบ้างที่ควรตรวจบ่อยกว่านี้?

  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือใช้ยากดภูมิ)
  • เคยมีผลเซลล์ผิดปกติระดับสูง (เช่น CIN2+) หรือมีประวัติรักษารอยโรคมาก่อน
  • เคยได้รับผลตรวจผิดปกติซ้ำๆ ตามดุลยพินิจแพทย์ กลุ่มนี้แพทย์จะกำหนดช่วงติดตามผลเป็นรายบุคคล เช่น ต้องตรวจซ้ำทุกๆ 6-12 เดือน เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงได้ในระยะยาว

เมื่อไหร่ที่เราจะสามารถหยุดตรวจได้?

  • อายุเกิน 65 ปี และมีผลตรวจปกติอย่างเพียงพอในช่วงก่อนหน้า เช่น Pap ปกติ 3 ครั้งใน 10 ปีล่าสุด หรือ primary HPV/co-test ปกติ 2 ครั้งใน 10 ปีล่าสุด โดยผลล่าสุดอยู่ในช่วง 3-5 ปี และ ไม่มีประวัติ CIN2+ ใน 25 ปีที่ผ่านมา
  • ผู้ที่ผ่าตัดมดลูกรวมปากมดลูก จากสาเหตุที่ไม่ใช่มะเร็งและไม่มีประวัติรอยโรคระดับสูง อาจหยุดตรวจได้ (ควรให้แพทย์ยืนยันอีกครั้ง)

สรุปแล้วเราควรอัปเกรดเกราะป้องกันเชื้อไวรัส HPV ให้เต็มขั้น ป้องกันไว้ก่อนหายก่อน!

มาถึงตรงนี้ทุกคนคงเข้าใจแล้วว่า เชื้อไวรัส HPV ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว ปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นอย่างมากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องตื่นตระหนกจนเกินไป! เพราะ HPV คือเชื้อไวรัสสุดเบสิกที่ติดต่อกันง่ายผ่านการสัมผัส แต่เราสามารถรับมือได้ชัวร์ๆ แค่เข้าใจช่องทางการติดต่อ รู้ว่าถ้าตรวจเจอต้องทำยังไงต่อไป และที่สำคัญที่สุดคือการป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการฉีดวัคซีน HPV ซึ่งเปรียบเสมือนการอัปเกรดเกราะป้องกันให้ร่างกายแบบขั้นเทพ

อย่าปล่อยให้ความกังวลมาบั่นทอนไลฟ์สไตล์สุดปังของคุณ! มาสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดให้ตัวเองด้วยวัคซีน HPV ชนิด 9 สายพันธุ์ ที่ S’RENE by SLC ซึ่งครอบคลุมสายพันธุ์เสี่ยงสูงที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้มากที่สุด ทีมแพทย์ของเราพร้อมให้คำปรึกษาและดูแลคุณอย่างเป็นกันเองในทุกขั้นตอน แล้วมาดูแลสุขภาพเชิงป้องกันไปด้วยกันนะ!!

หากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัคซีน HPV ชนิด 9 สายพันธุ์ ติดต่อรับคำปรึกษาจากแพทย์ของเราที่ S’RENE by SLC ได้เลยย! 

  • สาขา ทองหล่อ ชั้น 4 – โทร 064 184 5237 
  • สาขา ชาน แจ้งวัฒนะ 14 ชั้น 2 – โทร  099 807 7261 
  • สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร  081 249 7055 
  • สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669 
  • สาขา สยาม  – โทร 064 139 6390 และ 081 249 6392 

สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่