เรื่องน่ารู้
Blogs

“ไขมันพอกตับ” โรคยอดฮิตของคนออฟฟิศที่ไม่ควรมองข้าม!

นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์มากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน สั่งอาหารจัดส่งมากินที่โต๊ะทำงาน ดื่มกาแฟหวาน เป็นประจำ และแทบไม่มีเวลาออกกำลังกาย สถานการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนทำงานยุคปัจจุบัน แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าไลฟ์สไตล์แบบนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ ไขมันพอกตับ โดยไม่รู้ตัว จนกลายเป็นโรคยอดฮิตของมนุษย์ออฟฟิศ โรคตับที่เงียบเชียบ ดูไม่มีสัญญาณบอกอะไร แต่อันตรายถึงขั้นคุกคามชีวิตได้หากปล่อยทิ้งไว้ 

ไขมันพอกตับ คืออะไร? อันตรายแค่ไหน? 

ไขมันพอกตับ (Fatty Liver) เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมไขมันในตับมากกว่าปกติ โดยปกติตับจะมีไขมันอยู่ต่ำกว่า 5% ของน้ำหนักตับ แต่เมื่อมีไขมันสะสมเกิน 5% ขึ้นไป จึงเรียกว่าเป็นไขมันพอกตับ ซึ่งส่งผลให้ตับทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ โดยภาวะไขมันพอกตับสามารถแบ่งความรุนแรงออกได้เป็น 4 ระยะ ได้แก่ 

  • ระยะที่ 1 – ไขมันสะสมในตับ แต่ยังไม่มีการอักเสบ 
  • ระยะที่ 2 – เริ่มมีตับอักเสบ หากปล่อยไว้เกิน 6 เดือนอาจเป็นตับอักเสบเรื้อรัง 
  • ระยะที่ 3 – เกิดพังผืดและการอักเสบรุนแรงขึ้น เซลล์ตับค่อยๆ ถูกทำลาย 
  • ระยะที่ 4 – ตับแข็งและอาจกลายเป็นมะเร็งตับได้ 

ภาวะไขมันพอกตับ หรือผู้มีความเสี่ยงโรคตับจึงควรใส่ใจดูแลตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พัฒนาไปสู่ระยะที่รุนแรงขึ้น 

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของชาวออฟฟิศ 

ชาวออฟฟิศมีโอกาสเป็น ไขมันพอกตับ มากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคดิจิทัล โดยปัจจัยเสี่ยงหลักที่พบบ่อยในคนออฟฟิศ ได้แก่ 

พฤติกรรมการทำงาน 

  • นั่งทำงานติดต่อกันมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน: โดยไม่ได้ลุกยืดเส้นยืดสาย 
  • ไม่มีเวลาออกกำลังกาย: หรือเคลื่อนไหวร่างกายไม่เพียงพอ 
  • นอนดึก นอนไม่พอ นอนไม่เป็นเวลา: เพราะงานค้างหรือความเครียดจากงาน 

อาหารและเครื่องดื่ม 

  • สั่งอาหารจัดส่งประจำ: โดยเฉพาะอาหารทอด อาหารมัน รวมถึงกินฟาสต์ฟู้ดตลอดเวลา 
  • ขนมขบเคี้ยวในออฟฟิศ: เช่น ขนมถุงแคลสูง คุกกี้ ขนมปัง ลูกอม 
  • เครื่องดื่มหวาน: ไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลม ชานมไข่มุก ชาเย็น หรือกาแฟปรุงสำเร็จรูปที่มีน้ำตาลสูง 
  • กินอาหารไม่เป็นเวลา: หรือข้ามมื้อแล้วกินมากในมื้อเดียว 
  • ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ในปริมาณมากและต่อเนื่อง ไม่ว่าจะจากงานปาร์ตี้ทุกสุดสัปดาห์ หรือจากความเครียดจากการทำงาน 

ความเครียดและสภาพแวดล้อม 

  • ความกดดันจากงาน: ความเครียดจากงานเยอะ เดดไลน์ และเป้าหมายยอดขาย 
  • การนั่งในที่แอร์เปิดตลอดวัน: ทำให้การเผาผลาญช้าลง 

สุขภาพและโรคประจำตัว 

  • ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน: เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด 
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2: ภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้ร่างกายจัดการไขมันได้ไม่ดี 
  • ไขมันในเลือดสูง: โดยเฉพาะระดับไตรกลีเซอไรด์สูง 
  • การใช้ยาบางชนิด: ยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดไขมันพอกตับ 

 

ความเชื่อมโยงระหว่างปัญหาไขมันพอกตับกับคอเลสเตอรอลสูง 

หลายคนอาจคิดว่า ไขมันพอกตับ กับ คอเลสเตอรอลสูง เป็นคนละเรื่องกัน แต่จริง ๆ แล้วทั้งสองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันมาก เพราะตับและลำไส้เป็นตัวหลักที่สร้างคอเลสเตอรอลให้ร่างกายถึง 80% 

เมื่อตับมีไขมันพอกมากขึ้น ตับอาจทำงานผิดปกติ ทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดผิดปกติ ไขมันเลว LDL เพิ่มขึ้น ส่วนไขมันดีอย่าง HDL ลดลง และเมื่อค่าคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น คอเลสเตอรอลจะกลับไปสะสมเป็นไขมันที่ตับ เป็นวงจรซ้ำไปซ้ำไป นี่แหละเป็นเหตุผลที่ชาวออฟฟิศหลายคนมักมีทั้งสองปัญหาพร้อมกัน 

อาการและสัญญาณเตือน ไขมันพอกตับ 

ไขมันพอกตับเป็นโรคเงียบที่ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการในช่วงแรก มักตรวจพบจากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือการเจาะเลือด อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจ: 

  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียไม่ทราบสาเหตุ แม้จะพักผ่อนเพียงพอ 
  • ปวดแน่นใต้ชายโครงด้านขวา โดยเฉพาะหลังทานอาหาร 
  • น้ำหนักขึ้นแม้ควบคุมอาหาร หรือลดน้ำหนักยากผิดปกติ 
  • ผิวหนังคันหรือเปลี่ยนสี โดยเฉพาะบริเวณคอและรักแร้ 

การตรวจสุขภาพประจำปีจึงสำคัญมาก เพราะแพทย์จะสามารถตรวจพบปัญหาสุขภาพตับได้ตั้งแต่ระยะแรกที่ยังรักษาและป้องกันได้ง่าย 

แนวทางการป้องกันและฟื้นฟูภาวะไขมันพอกตับ   

หัวใจสำคัญของการป้องกันและฟื้นฟูภาวะไขมันพอกตับคือ “การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์” อย่างยั่งยืน โดยเน้นหลัก 3 ด้าน คือ การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่น ๆ รวมถึงการตรวจสุขภาพเป็นประจำ สำหรับชาวออฟฟิศที่ต้องการดูแลสุขภาพตับอย่างครอบคลุม 

การควบคุมอาหาร: “กินให้เป็นเพื่อตับที่แข็งแรง 

การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญที่สุดในการลดปริมาณไขมันในตับ 

ประเภทอาหาร อาหารที่ควรรับประทาน (Do’s) อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือลด (Don’ts) 
คาร์โบไฮเดรต ข้าวกล้อง, ข้าวไรซ์เบอร์รี่, ขนมปังโฮลวีท, ธัญพืชไม่ขัดสี ข้าวขาว, ขนมปังขาว, เส้นก๋วยเตี๋ยว, ขนมเค้ก, คุกกี้, เบเกอรี่ต่างๆ 
โปรตีน เนื้อปลา (เช่น แซลมอน, ทู, ซาร์ดีน), อกไก่ (ไม่ติดหนัง), ไข่ขาว, เต้าหู้, ถั่วต่างๆ เนื้อสัตว์ติดมัน, หนังสัตว์, อาหารแปรรูป (ไส้กรอก, แฮม, โบโลน่า), เครื่องในสัตว์ 
ไขมัน ไขมันดีจากธรรมชาติ เช่น อะโวคาโด, น้ำมันมะกอก, ถั่วเปลือกแข็ง (แมคคาเดเมีย, อัลมอนด์), เมล็ดเจีย ของทอด, ของมัน, กะทิ, เนย, มาการีน, ครีมเทียม, น้ำมันปาล์ม 
ผักและผลไม้ เน้นผักใบเขียวทุกชนิด (บรอกโคลี, คะน้า) และผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย (ฝรั่ง, แก้วมังกร, แอปเปิล, เบอร์รี) ผลไม้รสหวานจัดและมีดัชนีน้ำตาลสูง (ทุเรียน, ลำไย, ขนุน, มะม่วงสุก, แตงโม) 
เครื่องดื่ม น้ำเปล่า, ชาไม่ใส่น้ำตาล (โดยเฉพาะชาเขียว) งดเด็ดขาด: เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด 
หลีกเลี่ยง: น้ำอัดลม, น้ำหวาน, ชาไข่มุก, น้ำผลไม้กล่อง 

การออกกำลังกาย: เผาผลาญไขมัน ลดภาระตับ 

การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันส่วนเกิน รวมทั้งไขมันที่สะสมในตับ และช่วยให้การทำงานของอินซูลินดีขึ้น 

  • ความถี่และความหนัก: ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic Exercise) เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที หรือครั้งละ 30-40 นาที 4-5 วันต่อสัปดาห์ 
  • เสริมสร้างกล้ามเนื้อ: การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Resistance Training) เช่น ยกน้ำหนัก หรือใช้ยางยืด สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ทำให้ระบบเผาผลาญดีขึ้น 
  • โยคะ: ท่าโยคะบางท่า เช่น ท่างูเห่า (Cobra Pose) ท่าคันธนู (Bow Pose) และท่าบิดตัว (Spinal Twist) สามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดมายังบริเวณตับได้ 

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่น ๆ 

  • ควบคุมน้ำหนัก: การลดน้ำหนักลง 5-10% ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น สามารถลดปริมาณไขมันในตับและลดการอักเสบของตับได้อย่างมีนัยสำคัญ 
  • งดดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด: แม้ในผู้ที่ไม่ได้มีภาวะไขมันพอกตับจากแอลกอฮอล์โดยตรง การงดดื่มก็จะช่วยลดภาระการทำงานของตับได้อย่างมาก 
  • หลีกเลี่ยงยาและสมุนไพรที่ไม่จำเป็น: ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยาทุกชนิด เนื่องจากยาบางชนิดอาจส่งผลเสียต่อตับได้ 
  • ควบคุมโรคประจำตัว: หากมีโรคเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง ควรควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอย่างสม่ำเสมอ 
  • ตรวจสุขภาพประจำปี: ควรตรวจสุขภาพและตรวจการทำงานของตับเป็นประจำ เพื่อติดตามผลและป้องกันภาวะแทรกซ้อน 

โดย โปรแกรม Preventive Check Up ที่ S’RENE by SLC ได้รับการออกแบบเพื่อตรวจสอบสุขภาพตับและปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ด้วยการตรวจ 16 รายการสำคัญ ได้แก่: 

  • การทำงานของตับ (AST, ALT) เพื่อประเมินความเสียหายของตับ 
  • ระดับคอเลสเตอรอลทั้งหมด HDL และ LDL เพื่อดูความเสี่ยงหลอดเลือด 
  • ระดับน้ำตาลในเลือด (FBS, HbA1C) เพื่อตรวจสอบภาวะเบาหวาน 
  • การทำงานของไต และระดับกรดยูริคที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญ 

สำหรับผู้มีภาวะเสี่ยงปัญหาตับทำงานผิดปกติ โปรแกรม IV Liver Detox ก็สามารถช่วยกระตุ้นตับให้ตับขับสารพิษได้ดีขึ้น ฟื้นฟูการทำงานของตับให้กลับมาเป็นปกติ และลดการสะสมไขมันในตับ โปรแกรมนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีผลตรวจเอนไซม์ตับสูงหรือมีความเสี่ยงจากการดื่มแอลกอฮอล์และอาหารมัน 

สรุป ไขมันพอกตับ อันตรายใกล้ตัว แก้ได้ถ้ารู้ทัน! 

ไขมันพอกตับ เป็นปัญหาสุขภาพที่คนออฟฟิศไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถพัฒนาไปสู่โรคเรื้อรังของตับได้หากไม่ได้รับการดูแล การป้องกันด้วยการปรับไลฟ์สไตล์และตรวจสุขภาพเป็นประจำยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด 

อย่าปล่อยให้ปัญหาสุขภาพตับส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายปรึกษาแพทย์ได้ที่: 

 

ดำเนินการภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น 
เฉพาะสาขาที่ร่วมรายการ 

สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่