เรื่องน่ารู้
Blogs

ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ! หมอนรองกระดูกคอเสื่อม ฟื้นฟูตรงจุดด้วย Shockwave

เคยไหม? ตื่นเช้ามาพร้อมกับความรู้สึกตึงๆ ที่คอ แถมมีอาการปวดร้าวลงบ่า ไหล่ สะบัก หรือบางทีคือปวดแปล๊บลงไปถึงปลายนิ้วแบบงงๆ นี่อาจไม่ใช่แค่ Office Syndrome แบบที่คิด! อาการปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ โดยเฉพาะถ้าเริ่มมีอาการชา อ่อนแรง หรือปวดร้าวลงแขน บอกเลยว่าอาการเหล่านี้ไม่ธรรมดา เพราะอาจเป็น “สัญญาณเตือนโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อม” ที่คนวัยทำงาน วัยกลางคน หรือแม้แต่วัยรุ่นก็เริ่มเจอกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ

บทความนี้เราจะพาทุกคนมาเจาะลึกว่าโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมคืออะไร อาการเป็นยังไง อะไรบ้างที่เป็นปัจจัยเสี่ยง รวมถึงวิธีฟื้นฟูด้วยเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงอย่าง Smart Focus Shockwave Program จาก S’RENE by SLC ที่ช่วยจัดการความปวดได้ตรงจุดแบบไม่ต้องกินยา ไม่ต้องเจ็บตัว!

โรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมคืออะไร ทำไมจึงเป็นโรคฮิตของคนทำงาน

หมอนรองกระดูกคอ (Cervical disc) คือแผ่นเจลนุ่มๆ ที่คั่นอยู่ระหว่างกระดูกคอทั้ง 7 ข้อ (C1-C7) มีหน้าที่รองรับแรงกระแทก ช่วยให้คอเคลื่อนไหวได้อย่างยืดหยุ่น เมื่อเราใช้คอหนักๆ หรือใช้ผิดท่า เช่น ก้มหน้ามองจอนานๆ การโยกคอบ่อยๆ รวมไปถึงอายุที่เพิ่มมากขึ้น หมอนรองกระดูกคอจะเริ่มเสื่อมหมดความยืดหยุ่น และอาจปลิ้นหรือยุบจนไปกดทับเส้นประสาทหรือไขสันหลังได้

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อม ได้แก่

  • การนั่งหน้าคอมพิวเตอร์หรือก้มเล่นมือถือเป็นเวลานานๆ
  • ท่านั่งทำงานหรือการนอนผิดท่า
  • ขาดการออกกำลังกาย ยืดเหยียดกล้ามเนื้อไม่เพียงพอ
  • อุบัติเหตุหรือแรงกระแทกบริเวณคอ
  • ความเครียดสะสม ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตลอดเวลา

เช็กให้ชัวร์! อาการแบบไหนเข้าข่ายโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อม

อย่าคิดว่าก็แค่ปวดเมื่อยธรรมดาแล้ววันนึงจะหายได้เอง เพราะถ้าเริ่มมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ทันที!

สัญญาณแรกเริ่มที่ควรสังเกต

ปวดเมื่อยคอ

เริ่มต้นจากอาการปวดคอเล็กๆ น้อยๆ แต่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะหลังจากนั่งทำงานเป็นเวลานาน อาการปวดนี้อาจจะไม่รุนแรงในตอนแรก แต่จะค่อยๆ เพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ปวดเมื่อย คอ บ่า ไหล่ แบบต่อเนื่อง

เมื่อหมอนรองกระดูกคอเริ่มมีปัญหา อาการปวดจะไม่ได้อยู่แค่บริเวณคอเท่านั้น แต่จะลุกลามไปยังบ่าและไหล่ด้วย บางครั้งอาจรู้สึกเหมือนมีคนบีบหรือกดทับบริเวณเหล่านี้

รู้สึกชาและอ่อนแรง

นี่คือสัญญาณที่ร้ายแรงขึ้น เมื่อเริ่มรู้สึกชาบริเวณแขน มือ หรือนิ้วมือ พร้อมกับความรู้สึกอ่อนแรง แสดงว่าหมอนรองกระดูกอาจเริ่มกดทับเส้นประสาทแล้ว

ปวดข้อมือ นิ้วชา มือชา

สัญญาณเตือนโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมที่ต้องรีบพบแพทย์

ปวดร้าวลงแขนและมือ

เมื่อความเจ็บปวดเริ่มลุกลามจากคอไปยังแขนและมือ โดยเฉพาะเป็นแบบปวดร้าวเหมือนไฟดูด นี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเส้นประสาทถูกกดทับ

รู้สึกคอแข็งตึงและขยับยากตอนตื่นนอน

ตื่นมาตอนเช้าจะรู้สึกตึงบริเวณคอและหันซ้ายหันขวาได้ลำบาก หรือต้องขยับทั้งตัวแทนที่จะหันหน้าเพียงอย่างเดียว

รู้สึกคอแข็งตึงและขยับยากตอนตื่นนอน

ปวดหัวบ่อยขึ้น

อาการปวดหัวที่เกิดจากการตึงเครียดของกล้ามเนื้อคอและบ่า โดยเฉพาะปวดท้ายทอยและขมับ

ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงเป็นโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมทั้งที่อายุยังน้อย?

สาเหตุหลักมาจากไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการก้มหน้าเล่นมือถือ หรือนั่งหน้าคอมพิวเตอร์นานเป็นชั่วโมงติดต่อกันโดยไม่ได้ปรับอิริยาบถ ล้วนเป็นตัวการทำให้หมอนรองกระดูกคอต้องรับแรงกดทับมากกว่าปกติ

พฤติกรรมเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยง

  • นั่งโน้มตัวไปข้างหน้าขณะทำงาน
  • ก้มหน้าเล่นมือถือเป็นเวลานาน
  • นอนดูโทรทัศน์ด้วยท่าที่ไม่ถูกต้อง
  • ไม่ออกกำลังกายหรือยืดเหยียดกล้ามเนื้อ

ปวดคอ บ่า ไหล่

Smart Focus Shockwave Program คือตัวช่วยใหม่แบบ Non-Invasive ที่ได้ผลจริง!

Shockwave Therapy คืออะไร ทำไมถึงช่วยบรรเทาอาการปวดคอ บ่า ไหล่ได้

ถ้าพูดถึงนวัตกรรมฟื้นฟูที่ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย คอ บ่า ไหล่ต้องยกให้ Shockwave Therapy หรือการใช้ “คลื่นกระแทก” ซึ่งช็อกเวฟเป็นเทคโนโลยีการรักษาด้วยคลื่นกระแทกแบบเรเดียล (Radial Shockwave Therapy) เป็นคลื่นที่มีการกระจายตัวเป็นวงกว้าง ที่มีความเข้มข้นต่ำกว่าคลื่นกระแทกแบบโฟกัส (Focus Shockwave Therapy) ที่มีความเข้มข้นสูงสามารถส่งไปยังจุดที่เป็นปัญหาอย่างแม่นยำ จึงช่วยกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อตามธรรมชาติของร่างกาย โดยไม่ต้องใช้ยาหรือการผ่าตัด ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยมาก อาจมีอาการปวดและบวมในบริเวณที่รับการรักษา ซึ่งอาการนี้มักจะหายได้เองภายในไม่กี่วัน

หลักการทำงานของ Smart Focus Shockwave Program

  1. กระตุ้นการไหลเวียนเลือด คลื่นกระแทกจะช่วยขยายหลอดเลือดฝอย ทำให้การไหลเวียนเลือดในบริเวณที่มีปัญหาดีขึ้น ทั้งยังส่งผลให้ออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อได้มากขึ้นด้วย
  2. ลดการอักเสบ Smart Focus Shockwave Program จะช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ทำให้อาการปวดและบวมลดลง กล้ามเนื้อผ่อนคลายได้มากขึ้น
  3. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน Smart Focus Shockwave Program ช่วยส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายให้แข็งแรงขึ้นได้

โดยเฉพาะที่ S’RENE by SLC เราใช้การรักษาแบบ Focus Shockwave Therapy ที่สามารถกำหนดความลึกของคลื่นไปยังจุดที่มีปัญหา ช่วยให้การรักษาแม่นยำขึ้น เจ็บน้อยลง และเห็นผลได้ไวกว่าเดิม!

กระบวนการรักษาด้วย Smart Focus Shockwave Program ที่ S’RENE by SLC

  1. ประเมินอาการเบื้องต้น นักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญจะตรวจประเมินอาการและตรวจหาจุดปัญหาอย่างละเอียด
  2. วางแผนการรักษา กำหนดจำนวนครั้งและความเข้มข้นของคลื่นกระแทกที่เหมาะสมกับแต่ละคน
  3. ดำเนินการรักษา ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีต่อครั้ง ในบรรยากาศที่ผ่อนคลายและให้ความรู้สึกปลอดภัย
  4. การติดตามผล ประเมินความก้าวหน้าและปรับแผนการรักษาตามความเหมาะสม

ต้องทำ Smart Focus Shockwave Program บ่อยแค่ไหน?

โดยทั่วไปแนะนำให้ทำ Smart Focus Shockwave Program สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นระยะเวลา 3-4 ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและการตอบสนองของแต่ละบุคคล

ข้อดีของ Smart Focus Shockwave Program

  • ไม่รู้สึกเจ็บปวดขณะทำการรักษา เทคโนโลยี Smart Focus ทำให้คลื่นกระแทกมีลักษณะทู่แทนที่จะแหลม จึงช่วยลดความเจ็บปวดระหว่างการรักษาได้
  • ผลข้างเคียงน้อยมาก เป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัย ไม่ต้องกิน ยาหรือฉีดยา ไม่มีการระคายเคืองผิวหนัง
  • เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรก หลายคนรู้สึกโล่งและปวดน้อยลงหลังจากทำครั้งแรก และอาการจะดีขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนครั้งที่รักษา
  • รักษาได้หลากหลายอาการ นอกจากอาการปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ แล้ว ยังช่วยรักษาอาการปวดหลัง ปวดตามข้อ และปัญหาสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย

ใครบ้างที่ควรพิจารณารับการรักษาด้วย Smart Focus Shockwave Program

  • พนักงานออฟฟิศ ที่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์มากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน
  • นักเรียน-นักศึกษา ที่ก้มหน้าอ่านหนังสือหรือใช้มือถือเป็นเวลานานๆ
  • คนที่มีอาชีพต้องใช้คอบ่อย เช่น ทันตแพทย์ ช่างซ่อม หรือคนทำงานฝีมือ
  • ผู้สูงอายุ ที่เริ่มมีปัญหากระดูกเสื่อมตามวัย
  • คนที่มีอาการปวดเมื่อย คอ บ่า ไหล่ เรื้อรัง เคยรับการรักษามาหลายทางแล้วยังไม่หายดี
  • คนที่มีอาการออฟฟิศซินโดรม กล้ามเนื้อตึงสะสมมานาน
  • ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเริ่มมีภาวะหมอนรองกระดูกคอเสื่อมในระยะแรก
  • คนที่มีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

Shockwave ohv'=kp

วิธีป้องกันอาการปวดเมื่อย คอ บ่า ไหล่ที่ทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต

  • ใช้มือถืออย่างถูกวิธี ยกมือถือขึ้นมาในระดับสายตา แทนการก้มหน้าลงไปมองจอ
  • จัดโต๊ะทำงานให้เหมาะสม จอคอมพิวเตอร์ควรอยู่ในระดับสายตา เก้าอี้มีพนักพิงรองรับหลัง
  • ควรหาเวลาหยุดพักทุก 30-45 นาที ลุกขึ้นยืน ลุกเดินบ้าง หรือยืดเหยียดกล้ามเนื้อแบบเบาๆ

ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง

  • คาร์ดิโอเบาๆ เช่น เดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือด
  • โยคะหรือพิลาทิส ช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่น
  • เสริมสร้างกล้ามเนื้อคอและบ่า ด้วยการออกกำลังกายแบบเฉพาะเจาะจง

สรุปแล้วเราควรดูแลสุขภาพคอ บ่า ไหล่ กับ Smart Focus Shockwave Program ก่อนสายเกินไป!!

การสังเกตสัญญาณเตือนโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อม และการรู้จักวิธีแก้ปวดเมื่อย คอ บ่า ไหล่ ที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญมากในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยี Shockwave Therapy ถือเป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดอาการปวดเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งยาหรือการผ่าตัด

หากใครกำลังประสบปัญหาเหล่านี้ อย่ารอให้อาการแย่ลงไปอีก! มาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและสัมผัสกับ Smart Focus Shockwave Program ที่ S’RENE by SLC กันเถอะ เพราะการดูแลสุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการตัดสินใจที่ถูกต้องในวันนี้

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

Q : การรักษาด้วย Shockwave Therapy เจ็บไหม?

A: การรักษาด้วย Shockwave Therapy ไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บปวด เนื่องจากเทคโนโลยี Focus Shockwave Therapy ช่วยให้คลื่นกระแทกมีลักษณะทู่ (ไม่แหลม) จึงไม่รู้สึกเจ็บแหลมเหมือนการใช้เครื่อง Shockwave ปกติ หลายๆ คนรายงานว่าไม่รู้สึกเจ็บขณะทำการรักษา แต่จะรู้สึกแค่การกระตุ้นจากคลื่นกระแทกที่มีความเข้มข้นสูงที่ไปยังจุดปัญหา

Q : การทำ Smart Focus Shockwave Program มีผลข้างเคียงไหม?

A: โดยทั่วไปแล้ว Smart Focus Shockwave Therapy เป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัยและมีผลข้างเคียงน้อยมาก ผู้รับบริการบางรายอาจมีอาการปวดบวมเล็กน้อยหรืออาจรู้สึกเจ็บบริเวณที่ได้รับการรักษาในช่วงแรกหลังการทำ แต่ส่วนใหญ่จะหายไปเองภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังการรักษา

Q : Smart Focus Shockwave Program ต้องทำบ่อยแค่ไหน?

A: แนะนำให้ทำการรักษา Smart Focus Shockwave Program สัปดาห์ละ 1 ครั้งเป็นระยะเวลา 3-4 สัปดาห์ โดยจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังจากทำการรักษาครั้งแรก สำหรับบางคนที่มีอาการรุนแรงอาจจำเป็นต้องทำการรักษาเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์

Q : อาการปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่เกิดจากอะไร?

A: อาการปวดคอ บ่า ไหล่สามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ความเครียด การนั่งทำงานผิดท่า การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรือการใช้งานกล้ามเนื้อที่มากเกินไป หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจเป็นสัญญาณของโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม

Q : โรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมคืออะไร?

A: โรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมเป็นภาวะที่หมอนรองกระดูกคอเริ่มเสื่อมและสูญเสียความยืดหยุ่น ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดคอ ร้าวไปยังบ่า ไหล่ หรือแขน และอาจกดทับเส้นประสาท จนทำให้เกิดอาการชาและอ่อนแรงได้

Q : อาการที่ควรระวังว่าเป็นโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมคืออะไร?

A: หากคุณเริ่มมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ที่เรื้อรัง โดยเฉพาะหากมีอาการชา ร้าวลงแขน หรืออ่อนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อม

Q : ออฟฟิศซินโดรมคืออะไร และมีสาเหตุจากอะไร?

A: ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือภาวะที่เกิดจากการนั่งทำงานในท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง สาเหตุหลักมาจากการนั่งผิดท่า ขาดการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ รวมถึงความเครียดจากการทำงานหนัก

Q : การรักษาออฟฟิศซินโดรม อาการปวดเมื่อยคอ บ่า ไหล่ และโรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อมทำได้อย่างไร?

A: การรักษาสามารถเริ่มจากการปรับท่านั่งการทำงานให้ถูกต้อง การยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจำ และการทำกายภาพบำบัด ในบางกรณีอาจใช้เทคโนโลยี Shockwave Therapy เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดและกระตุ้นการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดหมายปรึกษาแพทย์ได้ที่:

สาขาทองหล่อ ชั้น 4 – โทร 064 184 5237
สาขาชาน แจ้งวัฒนะ 14 ชั้น 2 – โทร 099 807 7261
สาขาพาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร 081 249 7055
สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669

LINE: @SRENEbySLC หรือคลิก https://bit.ly/3IlXtvw

สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่