ออฟฟิศซินโดรม เป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในคนทำงานออฟฟิศยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้าง จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับอาการต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง ตลอดจนหาวิธีป้องกันและรักษาให้หายขาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ออฟฟิศซินโดรมคืออะไร?
ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ กลุ่มอาการที่เกิดจากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน โดยเฉพาะการนั่งทำงานในท่าเดิมซ้ำๆ การใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันหลายชั่วโมง หรือการอยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เกิดความเมื่อยล้า ปวดเกร็งของกล้ามเนื้อและเอ็น ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงในระยะยาวได้
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดออฟฟิศซินโดรม
- การนั่งในท่าเดียวนานๆ การนั่งทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานานโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ ทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนต้องทำงานหนักเกินไป ในขณะที่บางส่วนไม่ได้ถูกใช้งาน ก่อให้เกิดความไม่สมดุลและความตึงของกล้ามเนื้อ
- การใช้อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสม โต๊ะ เก้าอี้ แป้นพิมพ์ หรือจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่เหมาะกับสรีระของผู้ใช้งาน ทำให้ร่างกายต้องปรับตัวให้เข้ากับอุปกรณ์ ซึ่งอาจนำไปสู่ท่าทางที่ผิดธรรมชาติและเกิดการบาดเจ็บเรื้อรังได้
- ความเครียดจากการทำงาน ความกดดันและความเครียดในที่ทำงานสามารถเพิ่มความตึงของกล้ามเนื้อ ทำให้อาการของ ออฟฟิศซินโดรม รุนแรงมากขึ้น เนื่องจากร่างกายมักเกร็งกล้ามเนื้อเมื่อเผชิญกับความเครียด
- ขาดการออกกำลังกาย การใช้ชีวิตที่ขาดการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ขาดความยืดหยุ่น และไม่สามารถรองรับการทำงานในท่าที่ต้องใช้เป็นเวลานานได้
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงเป็นออฟฟิศซินโดรม?
- พนักงานออฟฟิศ ที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานต่อเนื่อง
- ผู้ที่ทำงานในสายอาชีพที่ต้องพิมพ์งานมาก เช่น นักเขียน โปรแกรมเมอร์ หรือนักบัญชี
- ผู้ที่มีพฤติกรรมนั่งทำงานโดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ เป็นเวลานานกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน
- ผู้ที่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่อเนื่อง ทั้งในที่ทำงานและที่บ้าน
- คนที่มีปัญหาสุขภาพอยู่เดิม เช่น กระดูกสันหลังคด หรือมีอาการปวดเรื้อรัง
กลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรมมีอะไรบ้าง สังเกตตัวเองด่วน!
กลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรม มีอะไรบ้างที่คุณควรรู้? หากคุณเริ่มรู้สึกไม่สบายตัวหลังจากนั่งทำงานเป็นเวลานาน ลองสังเกตอาการของตัวเองว่าตรงกับอาการต่อไปนี้หรือไม่ เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเผชิญกับออฟฟิศซินโดรม
อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย คอ บ่า ไหล่ หลัง
อาการปวดคอ บ่า ไหล่ เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุดใน กลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรม มักมีสาเหตุจากการนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้อง การก้มมองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือการใช้โทรศัพท์มือถือในท่าที่ไม่เหมาะสม ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการเกร็งตัวและเกิดอาการปวดเมื่อยตามมา
อาการเกี่ยวกับมือและข้อมือ นิ้วล็อก ข้อมืออักเสบ
โรคข้อมืออักเสบ (Carpal Tunnel Syndrome) และ โรคนิ้วล็อก เป็นอาการที่เกิดจากการใช้คีย์บอร์ดหรือเมาส์ในท่าเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานาน ทำให้เกิดการอักเสบของเอ็นและปลอกหุ้มเอ็น ส่งผลให้เกิดอาการปวด ชา และบางครั้งอาจมีอาการล็อกของนิ้วมือหรือการเคลื่อนไหวที่จำกัด
อาการทางสายตา ปวดตา ตาแห้ง มองไม่ชัด
โรคตาแห้ง และ อาการตาล้า เป็นผลมาจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานโดยไม่ได้พักสายตา ทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก การกะพริบตาน้อยลง และเกิดความล้าของสายตา ส่งผลให้มีอาการระคายเคือง แสบตา มองไม่ชัด และบางครั้งอาจมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย
อาการปวดศีรษะและอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
อาการปวดศีรษะ มักเป็นผลมาจากความตึงของกล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่า รวมถึงความเครียดจากการทำงาน นอกจากนี้ ยังอาจพบอาการอื่นๆ เช่น อาการวิงเวียน ไมเกรน หรือความดันโลหิตสูง ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรมที่ควรให้ความสำคัญ
ปัจจัยเสี่ยงที่คุณอาจไม่รู้ ที่ทำให้เกิดออฟฟิศซินโดรม
นอกจากพฤติกรรมการทำงานแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจทำให้คุณเป็นออฟฟิศซินโดรมได้ง่ายขึ้น การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการต่างๆ ได้
ท่านั่งและการทำงานที่ไม่ถูกต้อง
การนั่งทำงาน ในท่าที่ไม่ถูกต้อง เช่น การก้มหลัง ยกไหล่ หรือนั่งบิดตัว เป็นสาเหตุหลักของการเกิดออฟฟิศซินโดรมการนั่งในท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกต้องรับแรงกดทับมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บและเจ็บปวดในระยะยาว
อุปกรณ์สำนักงานที่ไม่เหมาะสมกับสรีระ
เก้าอี้สำนักงาน ที่ไม่รองรับหลัง จอคอมพิวเตอร์ ที่วางตำแหน่งไม่เหมาะสม หรือ โต๊ะทำงาน ที่มีความสูงไม่พอดีกับผู้ใช้ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดท่าทางที่ไม่ถูกต้องและนำไปสู่การเกิดกลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรมที่รบกวนชีวิตประจำวันของคนทำงานออฟฟิศ
สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
แสงสว่าง ที่ไม่เพียงพอหรือมากเกินไป อุณหภูมิ ที่ร้อนหรือเย็นเกินไป หรือ เสียงรบกวน ในที่ทำงาน ล้วนส่งผลต่อความเครียดและทำให้ร่างกายเกิดความตึงเครียด นำไปสู่อาการปวดเมื่อยที่รุนแรงขึ้น การจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันออฟฟิศซินโดรม
การขาดการเคลื่อนไหวและออกกำลังกาย
การนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานานโดยไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกายเพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและขาดความยืดหยุ่น การออกกำลังกายที่ไม่เพียงพอยังส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี กล้ามเนื้อไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอ และเกิดการสะสมของกรดแลคติก ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดเมื่อย
ความเครียดสะสมจากการทำงาน
ความเครียด จากงานที่หนัก การเผชิญกับความกดดัน หรือการทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียด ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวและเกิดอาการปวดเมื่อย การจัดการความเครียดอย่างเหมาะสมจึงเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันและลดอาการของกลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรม
ออฟฟิศซินโดรมรักษาอย่างไร
เมื่อคุณเริ่มมีอาการของออฟฟิศซินโดรม สิ่งสำคัญคือต้องหาวิธีรักษาและบรรเทาอาการอย่างถูกต้อง ซึ่งอาจทำได้ทั้งการดูแลตัวเองเบื้องต้นและการพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น
การดูแลตัวเองเบื้องต้นเพื่อบรรเทาอาการ
การจัดการกับออฟฟิศซินโดรม ในระยะเริ่มต้น สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านหรือในที่ทำงาน โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและหาวิธีบรรเทาอาการปวดเมื่อยอย่างเหมาะสม วิธีเหล่านี้ช่วยลดความรุนแรงของอาการและป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานและท่าทาง การนั่งตัวตรง ปรับระดับจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา และการพักสายตาทุก 20 นาที จะช่วยลดอาการปวดเมื่อยและป้องกันปัญหาสายตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การยืดเหยียดกล้ามเนื้อด้วยตัวเอง การทำท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อระหว่างวัน โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง จะช่วยบรรเทาความตึงและลดอาการปวดเมื่อยได้ ควรทำทุก 1-2 ชั่วโมงของการทำงาน
- การประคบร้อนและเย็นเพื่อลดปวด การประคบร้อนช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ส่วนการประคบเย็นช่วยลดการอักเสบและอาการปวด สามารถใช้สลับกันตามความเหมาะสมของอาการ
- การออกกำลังกายที่ช่วยบรรเทาอาการ การออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดิน โยคะ หรือการว่ายน้ำ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่น ทำให้ร่างกายสามารถรับมือกับท่าทางการทำงานได้ดียิ่งขึ้น
การรักษาทางการแพทย์สำหรับออฟฟิศซินโดรม
หากอาการของออฟฟิศซินโดรม ยังคงรบกวนคุณแม้จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลตัวเองแล้ว อาจถึงเวลาที่ต้องพบแพทย์เพื่อรับการรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสม การรักษาเหล่านี้ช่วยให้อาการดีขึ้นและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
- การใช้ยาเพื่อลดปวดและอักเสบ ยาแก้ปวดและยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบได้ในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
- กายภาพบำบัด ฟื้นฟูและเสริมสร้างความแข็งแรง การทำกายภาพบำบัดจะช่วยฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อและข้อต่อ เสริมสร้างความแข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่น นักกายภาพบำบัดจะออกแบบโปรแกรมเฉพาะบุคคลเพื่อแก้ไขปัญหาและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
- การฉีดยาเพื่อลดอาการปวดเฉพาะจุด ในกรณีที่มีอาการปวดรุนแรงหรือเรื้อรัง แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์หรือยาชาเฉพาะจุดเพื่อลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด วิธีนี้มักใช้ในกรณีที่การรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
- การผ่าตัด ทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้มีอาการรุนแรง ในกรณีที่มีอาการรุนแรงมาก เช่น โรคข้อมืออักเสบที่กดทับเส้นประสาท หรือมีการบาดเจ็บของเอ็นและข้อต่อ อาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดมักเป็นทางเลือกสุดท้ายหลังจากที่วิธีการรักษาอื่นๆ ไม่ได้ผล
ป้องกันอย่างไรไม่ให้เป็นออฟฟิศซินโดรมอีก
การป้องกันออฟฟิศซินโดรม เป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำควบคู่ไปกับการรักษา แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างถาวร จะช่วยป้องกันไม่ให้กลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรมกลับมารบกวนคุณอีก
ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ถูกสุขลักษณะ
การจัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสมกับสรีระร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดออฟฟิศซินโดรมได้อย่างมาก ควรปรับระดับโต๊ะและเก้าอี้ให้เหมาะสม จัดวางจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา และใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ที่รองข้อมือหรือที่วางแขน เพื่อช่วยให้ร่างกายอยู่ในท่าที่ถูกต้อง
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
การออกกำลังกาย เป็นประจำช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ร่างกายมีความทนทานต่อการทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานาน ควรเลือกการออกกำลังกายที่เน้นความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว กล้ามเนื้อหลัง และกล้ามเนื้อคอ
จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
ความเครียด และการพักผ่อนไม่เพียงพอมีผลโดยตรงต่อการเกิดออฟฟิศซินโดรม การฝึกเทคนิคผ่อนคลายความเครียด เช่น การหายใจลึกๆ การทำสมาธิ หรือการจัดสรรเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ลดความตึงของกล้ามเนื้อ และป้องกันอาการปวดเมื่อยได้
ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพโดยรวม
การดูแลสุขภาพ โดยรวมเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันกลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรม การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การดื่มน้ำให้เพียงพอ การนอนหลับที่มีคุณภาพ และการตรวจสุขภาพประจำปี จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและมีภูมิต้านทานที่ดี พร้อมรับมือกับความเครียดและความเหนื่อยล้าจากการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุปเกี่ยวกับภาวะออฟฟิศซินโดรม
สำหรับผู้ที่มีอาการออฟฟิศซินโดรม และต้องการการรักษาอย่างมืออาชีพ S’RENE by SLC มีโปรแกรมการรักษาที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น Office Syndrome Therapy ที่ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยจากการทำงาน Migraine Release Program (Level 1-2) สำหรับผู้ที่มีอาการปวดศีรษะรุนแรง หรือ โปรแกรมนวดแผนไทยประยุกต์ นวดบำบัดแก้อาการปวด ที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อและลดอาการปวดเมื่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ การดูแลสุขภาพไม่ควรรอให้มีอาการรุนแรง เริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้เพื่อสุขภาพที่ดีและการทำงานที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว
S’RENE by SLC พร้อมเป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพกล้ามเนื้อ และอาการปวด รวมถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดีและความมั่นใจที่ยั่งยืน สามารถรับคำแนะนำด้านสุขภาพที่แม่นยำ และเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคนเมืองยุคใหม่ โดยแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ป้องกันได้ที่ S’RENE by SLC สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือจองคิวได้ที่
▪️ สาขา ทองหล่อ ชั้น 4 – โทร 064 184 5237
▪️ สาขา ชาน แจ้งวัฒนะ 14 ชั้น 2 – โทร 099 807 7261
▪️ สาขา พาราไดซ์ พาร์ค ชั้น 3 – โทร 081 249 7055
▪️ สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669
▪️สาขา สยาม – โทร 064 139 6390 และ 081 249 6392
สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่