หลายคนอาจประสบกับอาการท้องอืด ท้องผูก ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือแม้แต่อาการเครียดและไมเกรน โดยไม่ทราบว่าสาเหตุอาจเชื่อมโยงกับสุขภาพลำไส้
เพราะลำไส้ไม่ได้มีหน้าที่แค่ย่อยอาหาร แต่ยังดูดซึมสารอาหารซึ่งมีผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบเผาผลาญ และยังมีความเชื่อมโยงกับสมองผ่าน “Gut-Brain Axis” การดูแลลำไส้ให้แข็งแรงจึงมีผลต่อสุขภาพโดยรวมมากกว่าการย่อยอาหาร
การเสริมโพรไบโอติก (Probiotics) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิตและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยดูแลลำไส้ให้แข็งแรง โดยโพรไบโอติกช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร ลดอาการเช่น ท้องเสียหรือท้องอืด และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น การมีจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ยังช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นอันตราย
ดังนั้น การรับประทานโพรไบโอติกเป็นประจำสามารถช่วยเสริมสุขภาพลำไส้ให้แข็งแรง ส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน การเผาผลาญ และสุขภาพโดยรวมของร่างกายอย่างยั่งยืน
ประเภทของโพรไบโอติก มีแบบไหนบ้าง?
โพรไบโอติกสามารถแบ่งออกเป็นหลายสายพันธุ์ แต่ละชนิดมีประโยชน์แตกต่างกันไป
- แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus)
เป็นหนึ่งในโพรไบโอติกที่พบได้บ่อยที่สุดในอาหาร เช่น โยเกิร์ตและผลิตภัณฑ์นมหมัก ช่วยเสริมสมดุลในลำไส้ ลดอาการท้องเสีย และช่วยบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) - บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium)
พบมากในลำไส้ใหญ่ มีส่วนช่วยย่อยสลายใยอาหาร ลดการอักเสบในลำไส้ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง - แซกคาโรไมซีส เบาลาร์ดดิ (Saccharomyces boulardii)
เป็นยีสต์โพรไบโอติกที่มีประโยชน์ในการบรรเทาอาการท้องเสียจากการใช้ยาปฏิชีวนะ และช่วยรักษาความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ - สเตร็พโตค็อกคัส เทอร์โมฟิลัส (Streptococcus thermophilus)
มักใช้ในกระบวนการผลิตโยเกิร์ต ช่วยย่อยสลายแลคโตสในนม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาการย่อยแลคโตส - แอซิโดฟิลัส (Acidophilus)
ช่วยเสริมสุขภาพช่องคลอด ลดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และสนับสนุนการทำงานของระบบย่อยอาหาร - เอนเทอโรคอคคัส (Enterococcus)
มีส่วนช่วยในกระบวนการย่อยอาหารและรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้
เช็กลิสต์โพรไบโอติกในอาหาร: อาหารที่มีโพรไบโอติกมีอะไรบ้าง?
- กิมจิ
เป็นผักกาดขาว ต้นหอม และหัวไชเท้าที่หมักด้วยเกลือและเครื่องปรุงต่าง ๆ จากเกาหลี เช่น ผงพริก (โกชูการู) กระเทียม ขิง และต้นหอม การหมักนี้สร้างกรดแลคติกแบคทีเรีย (Lactic Acid Bacteria) และจุลินทรีย์โพรไบโอติกหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร ช่วยเสริมสมดุลลำไส้ และปรับปรุงการทำงานของระบบทางเดินอาหาร - โยเกิร์ต
ทำจากนมที่ผ่านกระบวนการหมักโดยใช้แบคทีเรียแลคโตบาซิลลัสและสเตร็พโตค็อกคัส โยเกิร์ตมีจุลินทรีย์ที่ช่วยเสริมสุขภาพลำไส้ กระตุ้นการย่อยอาหาร และเสริมระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ กรีกโยเกิร์ตยังมีแลคโตบาซิลลัส แอซิโดฟิลัสและแลคโตบาซิลลัส คาเซอิที่ช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ - มิโซะ
ทำจากถั่วเหลืองหมักร่วมกับเกลือและเชื้อราในกระบวนการหมัก ซุปมิโซะมีจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่ช่วยปรับสมดุลของลำไส้ เสริมสร้างโปรตีน และมีแคลอรีต่ำ เหมาะสำหรับการบำรุงสุขภาพลำไส้ - เทมเป้
เป็นผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองหมักที่อุดมไปด้วยโปรตีนและโพรไบโอติก มีส่วนช่วยในการลดระดับไขมันในเลือด บรรเทาอาการวัยทอง และช่วยบำรุงสมองผ่านเลซิตินจากถั่วเหลือง - คอมบูชาหรือชาหมัก
เป็นเครื่องดื่มที่เกิดจากการหมักชาดำหรือชาเขียวกับหัวเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งมีแบคทีเรียและยีสต์ที่ดี ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ เสริมภูมิคุ้มกัน ลดอาการท้องเสีย และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ - ดาร์กช็อกโกแลต
ดาร์กช็อกโกแลตที่มีปริมาณโกโก้ 70% ขึ้นไป ถือเป็นแหล่งของโพรไบโอติก เช่น แลคโตบาซิลลัสและบิฟิโดแบคทีเรียม ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ส่งเสริมระบบย่อยอาหาร และเสริมภูมิคุ้มกัน ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยดูแลสุขภาพโดยรวม - ผักดอง
ไม่ว่าจะเป็นแตงกวาดอง ผักกาดดอง หรือผักดองแบบต่าง ๆ ผักที่ผ่านกระบวนการหมักนี้มีโพรไบโอติกที่ช่วยเสริมสุขภาพลำไส้ กระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาว และปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกัน ลดการเกิดอาการท้องผูกและช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
การบริโภคอาหารที่มีโพรไบโอติกจากธรรมชาติเป็นประจำ จะช่วยเสริมสุขภาพลำไส้และสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด การบริโภคอาหารที่หลากหลายและรับประทานอาหารที่มีโพรไบโอติกแบบหมุนเวียนเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ควรเน้นรับประทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป เพราะจากประโยชน์ที่ได้รับ อาจกลายเป็นผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้
ประโยชน์ของโพรไบโอติกต่อสุขภาพที่คุณควรรู้
การบริโภคโพรไบโอติกมีประโยชน์หลักในการปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกาย การรับประทานโพรไบโอติกอย่างเหมาะสมจึงช่วยเสริมสร้างสุขภาพในหลายด้าน ดังนี้
- ปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้
การบริโภคโพรไบโอติกช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่ดี และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นอันตราย ซึ่งช่วยเสริมสุขภาพลำไส้โดยรวม - เสริมระบบย่อยอาหาร
โพรไบโอติกช่วยเสริมสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการท้องผูก ท้องเสีย และบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน (Irritable bowel syndrome) - เสริมภูมิคุ้มกัน
จุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้มีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและช่วยต้านทานเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้น - ลดการอักเสบ
โพรไบโอติกช่วยลดการอักเสบในลำไส้และส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพลำไส้เรื้อรัง เช่น โรคลำไส้อักเสบ (Inflammatory Bowel Disease) - ส่งเสริมสุขภาพจิตและอารมณ์
ผ่านกลไกของ Gut-Brain Axis โพรไบโอติกสามารถส่งผลดีต่อการทำงานของสมองและลดความเครียด อาการซึมเศร้า และปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ - ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในช่องคลอด (สำหรับผู้หญิง)
การรับประทานโพรไบโอติก บางชนิดสําหรับผู้หญิงสามารถช่วยเสริมความสมดุลของจุลินทรีย์ในช่องคลอด ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและอาการอักเสบในบริเวณนั้น - เสริมการดูดซึมสารอาหาร
โพรไบโอติกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารและวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบี และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย - ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
มีการวิจัยที่พบว่าโพรไบโอติกบางสายพันธุ์สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด - บรรเทาอาการแพ้แลคโตส
โพรไบโอติกในนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ตช่วยย่อยแลคโตส ทำให้ผู้ที่แพ้แลคโตสสามารถบริโภคนมและผลิตภัณฑ์นมได้ง่ายขึ้น
การบริโภคโพรไบโอติกจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเสริมสุขภาพได้หลายด้าน ทั้งระบบทางเดินอาหาร ระบบภูมิคุ้มกัน และสุขภาพจิต ซึ่งมีผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีของร่างกายโดยรวม
วิธีการเลือกโพรไบโอติกให้เหมาะกับตัวคุณ
การเลือกผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการดูแลสุขภาพลำไส้ได้อย่างเต็มที่ การเรียนรู้วิธีการเลือกโพรไบโอติกที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพลำไส้ให้แข็งแรง ส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหารและภูมิคุ้มกันโดยรวมได้อย่างยั่งยืน
- ตรวจสอบสายพันธุ์จุลินทรีย์
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่ชัดเจน เช่น แลคโตบาซิลลัส หรือบิฟิโดแบคทีเรียม เนื่องจากแต่ละสายพันธุ์มีประโยชน์ที่แตกต่างกัน เช่น การเสริมภูมิคุ้มกัน การบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน หรือการส่งเสริมสุขภาพช่องคลอด - ปริมาณจุลินทรีย์ที่เพียงพอ
ตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์มีปริมาณจุลินทรีย์เพียงพอต่อการใช้งาน โดยทั่วไปควรมีจำนวนตั้งแต่ 1 พันล้าน CFU (Colony Forming Units) ขึ้นไปต่อหน่วยบริโภค เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด - รูปแบบที่สะดวกต่อการบริโภค
ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกมีหลายรูปแบบ เช่น แคปซูล ผง หรืออาหารเสริม ควรเลือกแบบที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณ เพื่อให้สามารถรับประทานได้อย่างต่อเนื่อง - การผสมพรีไบโอติก
ผลิตภัณฑ์ที่มีการผสมพรีไบโอติกหรือใยอาหารสามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของโพรไบโอติกได้ดีขึ้น เนื่องจากพรีไบโอติกเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตในลำไส้ - มาตรฐานการผลิต
เลือกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐาน เช่น GMP หรือ ISO 9001 เพื่อรับรองความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ - การเก็บรักษา
ตรวจสอบวิธีการเก็บรักษาที่เหมาะสม ผลิตภัณฑ์บางชนิดอาจต้องเก็บในที่เย็นเพื่อรักษาคุณภาพของจุลินทรีย์ - ได้รับการรับรองจาก อ.ย.
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) เพื่อความมั่นใจในด้านความปลอดภัยและคุณภาพ
การเลือกโพรไบโอติกที่เหมาะสมและมีคุณภาพช่วยเสริมสุขภาพลำไส้และร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรพิจารณาตามความต้องการเฉพาะบุคคลเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการกินโพรไบโอติก
แม้ว่าโพรไบโอติกจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่การรับประทานในปริมาณที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เหมาะกับร่างกายบางคนอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ดังนี้
- ท้องอืดหรือแก๊สในกระเพาะอาหาร
การบริโภคโพรไบโอติกในช่วงแรกอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือมีแก๊สในกระเพาะอาหาร เนื่องจากจุลินทรีย์ในลำไส้ต้องปรับตัวกับโพรไบโอติกใหม่ที่เข้าสู่ร่างกาย - ปัญหาการย่อยอาหาร
การรับประทานโพรไบโอติกในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาด้านการย่อยอาหาร เช่น ท้องเสียหรือท้องผูกได้ในบางกรณี - เสี่ยงต่อการติดเชื้อในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
สำหรับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีโรคประจำตัว การบริโภคโพรไบโอติกบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน - กระทบต่อการใช้ยาบางชนิด
โพรไบโอติกบางสายพันธุ์อาจมีปฏิกิริยากับยาที่รับประทานอยู่ เช่น ยาปฏิชีวนะ หรือยากดภูมิคุ้มกัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้ - การเพิ่มแก๊สในลำไส้และอาการแน่นท้อง
ในบางกรณี การบริโภคโพรไบโอติกอาจทำให้ลำไส้ผลิตแก๊สมากขึ้น และส่งผลให้เกิดอาการอึดอัดและแน่นท้องได้ - ผลกระทบต่อการทำงานของลำไส้ในระยะยาว
การบริโภคโพรไบโอติกในปริมาณที่มากเกินไปและต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้ลำไส้พึ่งพาจุลินทรีย์จากภายนอก ส่งผลให้สมดุลจุลินทรีย์ธรรมชาติในลำไส้ถูกรบกวนได้
เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ควรบริโภคโพรไบโอติกในปริมาณที่เหมาะสมและปรึกษาแพทย์หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
เปรียบเทียบโพรไบโอติก vs พรีไบโอติก ข้อแตกต่างที่ต้องรู้
นอกจากโพรไบโอติกแล้ว เชื่อว่าอาจจะคุ้นกับคำว่า “พรีไบโอติก” แม้ว่าพรีไบโอติกและโพรไบโอติกจะมีชื่อที่คล้ายกัน แต่เคยสงสัยกันไหมว่า โพรไบโอติก กับ พรีไบโอติก ต่างกันยังไง
โดยทั้งสองมีบทบาทที่แตกต่างกันในเรื่องของสุขภาพลำไส้และการเสริมสร้างจุลินทรีย์ในร่างกาย
- โพรไบโอติก (Probiotics)
- คืออะไร: จุลินทรีย์ที่มีชีวิต เช่น แบคทีเรียและยีสต์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถพบได้ในอาหารหมัก เช่น โยเกิร์ต กิมจิ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- ประโยชน์: ช่วยเสริมสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ปรับปรุงระบบย่อยอาหาร เสริมภูมิคุ้มกัน และช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพ เช่น ลำไส้แปรปรวนและท้องเสียจากยาปฏิชีวนะ
- ข้อเสีย: หากรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือแน่นท้อง นอกจากนี้บางคนอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อหากมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ข้อแนะนำ: ควรเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมและปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้อย่างเป็นประจำในกรณีที่มีปัญหาสุขภาพ
- พรีไบโอติก (Prebiotics)
- คืออะไร: ใยอาหารชนิดหนึ่งที่ร่างกายไม่สามารถย่อยได้ ทำหน้าที่เป็นอาหารของโพรไบโอติก จึงช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้
- ประโยชน์: ส่งเสริมการทำงานของโพรไบโอติกในร่างกาย กระตุ้นการทำงานของระบบทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน พบได้ในอาหารเช่น หัวหอม กล้วย ข้าวโอ๊ต และกระเทียม
- ข้อเสีย: การรับประทานพรีไบโอติกในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือแน่นท้องได้ในบางคน
- ข้อแนะนำ: การบริโภคพรีไบโอติกควรบริโภคร่วมกับโพรไบโอติกเพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น
สรุปได้ว่า โพรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิต ส่วนพรีไบโอติกเป็นอาหารของโพรไบโอติก การรับประทานทั้งสองควบคู่กัน (หรือที่เรียกว่า Synbiotic) จะช่วยเสริมสร้างและรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ได้ดีที่สุด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโพรไบโอติก (FAQ)
โพรไบโอติก กินทุกวันได้ไหม
การรับประทานโพรไบโอติกทุกวันสามารถทำได้และอาจเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ หากบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมและมีคุณภาพ การรับประทานโพรไบโอติกเป็นประจำช่วยเสริมสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ เสริมระบบย่อยอาหาร และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานเป็นประจำ
โพรไบโอติก กินตอนไหนดีที่สุด?
โดยทั่วไป การทานโพรไบโอติกควรทานพร้อมมื้ออาหารหรือหลังอาหาร เพื่อช่วยให้จุลินทรีย์ในโพรไบโอติกสามารถอยู่รอดได้ในกรดในกระเพาะอาหารและเดินทางไปยังลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การรับประทานควบคู่กับอาหารที่มีพรีไบโอติก เช่น กล้วย หัวหอม หรือข้าวโอ๊ต จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของโพรไบโอติกให้ดียิ่งขึ้น
โพรไบโอติก กินแบบไหนถึงจะเห็นผล
เพื่อให้การรับประทานโพรไบโอติกได้ผลลัพธ์ที่ดี ควรเลือกทานโพรไบโอติกที่มีจุลินทรีย์ในปริมาณที่เพียงพอ (เช่น มากกว่า 1 พันล้าน CFU) และควรเลือกสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่เหมาะสมกับปัญหา นอกจากนี้ การรับประทานอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจะช่วยให้จุลินทรีย์ในลำไส้สามารถปรับตัวและส่งผลดีต่อสุขภาพได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทานโพรไบโอติก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อคำแนะนำเพิ่มเติม
สรุปประโยชน์ของโพรไบโอติก พร้อมดูแลสุขภาพลำไส้ที่ S’RENE by SLC
โพรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะในการปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ลดปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เสริมความแข็งแรงของภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นการลดอาการท้องผูก ท้องเสีย หรือปัญหาสุขภาพจิต การบริโภคโพรไบโอติกในปริมาณที่เหมาะสม สามารถช่วยเสริมสุขภาพลำไส้และเพิ่มคุณภาพชีวิตของเราได้
สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลลำไส้อย่างล้ำลึก S’RENE by SLC คลินิกสุขภาพคนเมือง ขอแนะนำโปรแกรมสวนล้างลำไส้ด้วยระบบปิด (Colon Hydrotherapy)ที่มีการล้างลำไส้ด้วยน้ำสะอาดที่ผ่านการฆ่าเชื้อและปลอดภัย ภายใต้การดูแลจากแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ป้องกันที่จะแนะนำการจ่ายโพรไบโอติก เพื่อรีเซตสมดุลของลำไส้ ช่วยปรับปรุงสุขภาพลำไส้และเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ เรายังมี โปรแกรมดริปวิตามิน สูตร AMINO THERAPY 3สูตรเพิ่มสารอาหารอะมิโนบำบัดที่ออกแบบมาเพื่อการดูแลและฟื้นฟูลำไส้โดยเฉพาะ ช่วยเสริมสุขภาพของลำไส้ให้แข็งแรง ลดการอักเสบ และเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยและดูดซึมอาหาร
เพื่อการดูแลลำไส้ในเชิงลึกอย่างครอบคลุม S’RENE by SLC ยังมี โปรแกรมตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง IgG 222 รายการ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถทราบถึงอาหารที่อาจทำให้เกิดอาการอักเสบในลำไส้ เพื่อเลี่ยงและลดความเสี่ยงของการสะสมอุจจาระค้างปีที่ติดตามผนังลำไส้ ที่อาจนำไปสู่การดูดซึมสารก่อภูมิแพ้แฝง แล้วก่ออาการปวดหัว ไมเกรน หรือสิวเรื้อรัง
ดูแลสุขภาพลำไส้ของคุณกับ S’RENE by SLC เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืนและความสมดุลในทุกด้านของชีวิต
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือจองคิวปรึกษาแพทย์ที่ S’RENE by SLC ได้แล้ววันนี้
- สาขา ทองหล่อ ชั้น 4 – โทร 064 184 5237
- สาขา Charn แจ้งวัฒนะ ชั้น 2 – โทร 099 807 7261
- สาขา Paradise Park ชั้น 3 – โทร 081 249 7055
- สาขา เซ็นทรัลลาดพร้าว ชั้น 6 – โทร 080 245 7669
- LINE: @SRENEbySLC
- หรือคลิก https://bit.ly/3llXtvw
สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่
- Facebook: www.facebook.com/SrenebySLC
- IG: www.instagram.com/srene.byslc
- TikTok: www.tiktok.com/@srenebyslc
อ้างอิง
What are probiotics & what do they do?. Cleveland Clinic. (2023). https://my.clevelandclinic.org/health/treatments/14598-probiotics
Das, T. K., Pradhan, S., Chakrabarti, S., Mondal, K. C., & Ghosh, K. (2022). Current status of probiotic and related health benefits. Applied Food Research, 2(2), 100185. https://doi.org/10.1016/j.afres.2022.100185
Bodke, H., & Jogdand, S. (2022). Role of Probiotics in Human Health. Cureus, 14(11), e31313. https://doi.org/10.7759/cureus.31313
Kechagia, M., Basoulis, D., Konstantopoulou, S., Dimitriadi, D., Gyftopoulou, K., Skarmoutsou, N., & Fakiri, E. M. (2013). Health benefits of probiotics: a review. ISRN nutrition, 481651. https://doi.org/10.5402/2013/481651
สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่