เรื่องน่ารู้

Blogs

ระวัง! ฝีดาษลิง ระบาด เตรียมพร้อมรู้ทันโรคร้าย ไม่ต้องมีเซ็กส์ก็ติดได้

ช่วงนี้มีแต่ข่าวโรคระบาดใหม่ ๆ ให้ได้ใจเต้น ตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ซึ่งหลังจากที่เราคุ้นเคยกับ COVID-19 แล้ว ล่าสุดเองก็มีโรคระบาดใหม่อย่าง “ฝีดาษลิง” ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักกันดีนัก ว่าคืออะไร แพร่เชื้อได้ยังไง หรือว่าอันตรายแค่ไหน ซึ่งถ้าพูดถึงชื่อ “ฝีดาษลิง” หลายคนอาจนึกถึงลิง ติดมาจากลิงหรือเปล่า หรือว่าติดแค่สัตว์ใช่มั้ย ซึ่งความจริงแล้ว ฝีดาษลิงคือโรคที่มีการแพร่ระบาดสู่คน และอาจกระทบชีวิตประจำวันของเราได้! ในบทความนี้ แอดเลยอยากพาทุกคนไปเจาะลึกข้อมูลเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิงว่ามีที่มาจากไหน แพร่ระบาดอย่างไร และเราควรกังวลมากแค่ไหนกับเจ้าไวรัสตัวนี้

ฝีดาษลิง คืออะไร? ติดจากลิงรึเปล่า?

ฝีดาษลิง หรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า Monkeypox เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มีลักษณะคล้ายกับโรคฝีดาษ (smallpox) แต่เป็นเวอร์ชันที่เบากว่า โดยโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Monkeypox virus ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษ แต่ไม่ต้องตกใจไป! เพราะฝีดาษลิงไม่ได้รุนแรง เหมือนฝีดาษแบบดั้งเดิมที่ถูกกำจัดไปแล้วตั้งแต่ปี 1980 แต่ก็ยังคงต้องระวัง เพราะยังไม่มียารักษาโรคนี้โดยเฉพาะ 

เชื้อไวรัสฝีดาษลิงพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1958 จากการตรวจพบในกลุ่มลิงที่ถูกนำมาใช้ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อการวิจัย จึงถูกเรียกว่า “ฝีดาษลิง” อย่างไรก็ตามไม่ได้กำเนิดขึ้นจากลิงตามชื่อแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเจอในลิงก่อนครั้งแรกนั่นเอง ต่อมาในปี ค.ศ. 1970 ได้มีการพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อในมนุษย์ครั้งแรกในแอฟริกา โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฝีดาษลิงกลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากการแพร่ระบาดที่เพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก

การแพร่ระบาดของ ฝีดาษลิง เกิดขึ้นได้อย่างไร?

ฝีดาษลิงสามารถแพร่เชื้อได้จากสัตว์สู่คน หรือจากคนสู่คน โดยช่องทางหลักที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดคือการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่ง นอกจากนี้การสัมผัสกับของใช้ส่วนตัวที่มีการปนเปื้อนเชื้อไวรัสก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ทำให้ติดเชื้อได้ โดยวิธีการติดเชื้อหลัก ๆ มีดังนี้

  • สัมผัสโดยตรงกับสัตว์ที่ติดเชื้อ: การถูกกัดหรือข่วนโดยสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือการสัมผัสของเหลวในร่างกายของสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น เลือด น้ำลาย หรือหนองจากแผลของสัตว์
  • การสัมผัสโดยตรงกับผู้ที่ติดเชื้อ: สามารถเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีรอยโรคหรือผื่นที่เกิดจากฝีดาษลิง หรือการสัมผัสกับของเหลวจากร่างกายเช่น น้ำลาย น้ำมูก หรือหนองจากรอยโรค
  • การสัมผัสวัตถุที่ปนเปื้อน: เช่น เสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน หรือของใช้ที่มีการปนเปื้อนจากของเหลวของผู้ติดเชื้อก็สามารถแพร่เชื้อได้เช่นกัน
  • การแพร่เชื้อทางละอองฝอย: แม้ว่าจะไม่ใช่ช่องทางหลัก แต่การแพร่เชื้อทางการหายใจโดยการรับละอองฝอยที่มีเชื้อไวรัสจากผู้ติดเชื้อก็สามารถเกิดขึ้นได้ หากมีการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยเป็นเวลานาน

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ การติดเชื้อฝีดาษลิงไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ ก็สามารถติดเชื้อได้ แม้ว่าจะมีรายงานข่าวการแพร่เชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในกลุ่ม LGBTGIA+ แต่การติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อที่มีผื่น หรือแผลบริเวณผิวหนังก็มีโอกาสติดได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งจากชายหญิง และชายชาย ก็เสี่ยงมีโอกาสติดโรคฝีดาษลิงได้สูงกว่าอยู่ดี

ฝีดาษลิง อันตรายแค่ไหน? น่ากลัวมั้ย?

เมื่อพูดถึงความอันตราย ฝีดาษลิงไม่ได้รุนแรงจนทำให้เราต้องตกใจแบบโรคระบาดที่เคยเกิดขึ้น หรือ COVID-19 แต่ก็ควรให้ความสนใจ และระวังกันไว้เป็นอย่างดี ฝีดาษลิงมีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 1-10% ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของไวรัส และสภาพร่างกายของผู้ป่วย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะหายภายใน 2-4 สัปดาห์โดยไม่ต้องรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนี้ การติดเชื้อฝีดาษลิงก็ยังสามารถหายเองได้ในหลายกรณี โดยเฉพาะในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง

แต่ถึงแม้ว่าโรคนี้จะไม่รุนแรงถึงขั้นคร่าชีวิตได้ง่าย ๆ อาการที่เกิดขึ้นก็คงสร้างความไม่สบายตัวไม่น้อย ผู้ป่วยที่ติดเชื้อฝีดาษลิงจะมีอาการเริ่มต้นที่คล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และมีอาการต่อมน้ำเหลืองบวมที่เด่นชัด อาการที่สร้างความรำคาญที่สุดคือการเกิดตุ่มฝีหนองที่ผิวหนัง ซึ่งเริ่มต้นเป็นจุดเล็ก ๆ แล้วลุกลามกลายเป็นตุ่มหนองขนาดใหญ่ขึ้น ก่อนจะแตกออกและกลายเป็นแผล 

นอกจากนี้ ในบางกรณีโดยเฉพาะในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยโรคเอดส์หรือผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงหรือเสียชีวิตได้

อาการของฝีดาษลิง มักจะปรากฏภายใน 5-21 วันหลังจากการติดเชื้อ

โดยอาการเริ่มแรกมักคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ เช่น

  • ไข้สูง
  • ปวดหัวรุนแรง
  • ปวดกล้ามเนื้อ
  • หนาวสั่น
  • อ่อนเพลีย
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม

หลังจากนั้น 1-3 วัน ผื่นจะเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนที่จะกระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ผื่นเริ่มต้นเป็นตุ่มน้ำใส แล้วเปลี่ยนเป็นตุ่มหนองก่อนที่จะกลายเป็นสะเก็ดและหลุดออกไป อาการผื่นนี้อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์จนกว่าจะหายหมด

ปัจจัยที่ทำให้ฝีดาษลิงระบาดในช่วงนี้?

การแพร่ระบาดของฝีดาษลิงในช่วงนี้เป็นเรื่องที่สร้างความกังวลให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลก การแพร่กระจายของไวรัสในหลายภูมิภาคที่ไม่ได้เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์พาหะ เช่น ในยุโรปและอเมริกาเหนือ ทำให้ผู้คนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ฝีดาษลิงแพร่กระจายมากขึ้น คือการเคลื่อนย้ายของผู้คนและการเชื่อมโยงกันของโลกผ่านการเดินทางระหว่างประเทศ การสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อ หรือแม้กระทั่งการติดต่อโดยการสัมผัสของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดตัว หรือผ้าปูที่นอนที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาด

แล้วเราควรกังวลแค่ไหนกันล่ะ?

แม้ว่าฝีดาษลิงจะไม่รุนแรงเท่ากับโรคฝีดาษแบบดั้งเดิมที่เคยเป็นปัญหาใหญ่ในครั้งอดีต แต่เราก็ไม่ควรละเลยเรื่องความปลอดภัย การป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อควรเริ่มต้นจากการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ป่าที่อาจเป็นพาหะของไวรัส รวมถึงการระมัดระวังการสัมผัสโดยตรงกับผู้ที่มีอาการ เช่น มีตุ่มฝีหรือมีแผลที่ผิวหนัง

การสวมหน้ากากอนามัยและรักษาความสะอาดเป็นสิ่งที่สามารถช่วยป้องกันการแพร่เชื้อได้ นอกจากนี้ ควรล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น หากมีการระบาดในพื้นที่ การปฏิบัติตามมาตรการของทางสาธารณสุขจะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก

การรักษาฝีดาษลิง 

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับฝีดาษลิง การรักษาจึงเน้นไปที่การบรรเทาอาการและการรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น เช่น

  • การให้ยาลดไข้และยาแก้ปวดเพื่อลดอาการไข้และปวดกล้ามเนื้อ
  • การให้สารน้ำเพื่อป้องกันการขาดน้ำ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมีไข้สูงหรืออาเจียนมาก
  • การรักษาผื่นและแผลที่ผิวหนังโดยการใช้ยาฆ่าเชื้อหรือยาทาเพื่อลดการติดเชื้อทุติยภูมิ
  • ในกรณีที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียทุติยภูมิอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

นอกจากนี้ วัคซีนป้องกันฝีดาษในมนุษย์ (Smallpox) ที่เคยใช้ในอดีตถูกพบว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันฝีดาษลิงได้เช่นกัน การฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและลดความรุนแรงของอาการได้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่ทำงานในห้องปฏิบัติการหรือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาด

การป้องกันฝีดาษลิง

การป้องกันฝีดาษลิงสามารถทำได้โดย

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ป่า หรือสัตว์ที่มีอาการป่วย และหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้ปรุงสุก
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการป่วยหรือมีผื่นบนผิวหนัง
  • หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะหลังจากการสัมผัสกับผู้ป่วยหรือสิ่งของที่อาจปนเปื้อน
  • ใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล เช่น หน้ากากอนามัย และถุงมือ เมื่อจำเป็นต้องดูแล หรือสัมผัสกับผู้ป่วย
  • ฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

สรุปแล้ว ฝีดาษลิง เป็นภัยอันตรายหรือไม่?

ถึงแม้ว่าฝีดาษลิงจะเป็นโรคที่ไม่ได้รุนแรงเท่ากับฝีดาษในมนุษย์ แต่ก็ยังคงเป็นโรคที่ควรให้ความสำคัญ การแพร่ระบาดของโรคนี้มักเกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ และไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ก็สามารถติดเชื้อได้ อาการของโรคนี้มักเริ่มต้นด้วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ และต่อมาจะมีผื่นขึ้นทั่วร่างกาย การป้องกันที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่มีอาการป่วย หรือสัตว์ป่า รวมถึงการรักษาความสะอาด และสุขอนามัยส่วนบุคคลของตนเองอยู่ตลอด

หากคุณสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดอาจติดเชื้อฝีดาษลิง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมทันที 

________________________________________________

ติดต่อจองคิว S’RENE by SLC ได้ที่

สาขา ทองหล่อ – โทร 064 184 5237
สาขา Charn แจ้งวัฒนะ – โทร  099 807 7261
สาขา Paradise Park ชั้น 3 – โทร  083 996 6959

สามารถติดตาม S’RENE by SLC ได้ที่